ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงเศรษฐศาสตร์ของไทย โดยท่านเป็น อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 43 ปีเศษ ทั้งยังเป็นผู้ว่าการธปท.ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดอีกด้วย คือนานถึง 12 ปี 2 เดือน 4 วัน สร้างคุณูปการต่อการวางรากฐานธนาคารกลาง กฎหมายการเงิน ฯลฯ นอกจากนี้ ศ.ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ยังเป็น อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนที่ 10 ได้ปฏิรูปงานสำคัญหลายด้าน รวมถึงการปรับปรุงหลักสูตรปริญญาตรีและการผลิตอาจารย์
ประวัติส่วนตัว
นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2459 ที่ตลาดน้อย กรุงเทพฯ บิดาชื่อ นายซา เป็นชาวจีนอพยพเข้าเมืองไทย มีอาชีพขายส่งปลา มารดาชื่อ นางเซาะเช็ง มีเชื้อไทย-จีน ครอบครัวนายซาและนางเซาะเช็ง มีบุตร 7 คน ชาย 5 คน และหญิง 2 คน นายป๋วยเป็นบุตรคนที่ 4
เมื่อนายป๋วยอายุ 10 ขวบ บิดาถึงแก่กรรม จึงตกเป็นหน้าที่มารดาต้องเลี้ยงบุตรธิดาทั้งหมด นายป๋วยเข้าศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกภาษาฝรั่งเศส ทำคะแนนได้ดีเยี่ยมในวิชาภาษาฝรั่งเศสและคณิตศาสตร์ เมื่อจบการศึกษาในปี 2475 นายป๋วยได้รับเลือกเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญ นายป๋วยเริ่มอาชีพครูเมื่ออายุเพียง 17 ปี ได้รับเงินเดือน 40 บาท (เสมียนพนักงานที่รับราชการสมัยนั้นได้รับเงินเดือนขั้นต้น 15 บาท) นายป๋วยแบ่งให้มารดาเดือนละ 30 บาท และเก็บไว้ใช้ส่วนตัว 10 บาท
นายป๋วยเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง โดยยังเป็นครูอยู่และได้ปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิตปี 2480 จึงเริ่มอาชีพใหม่ โดยเป็นล่ามให้กับอาจารย์ฝรั่งเศสในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2481 เมื่อนายป๋วยอายุ 23 ปี ได้สอบแข่งขันและได้ทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อทางเศรษฐศาสตร์และการคลังที่ London School of Economics ของมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในปี 2484 ทำให้ได้รับทุน Leverhulme Studentship เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาเอกทันที
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นายป๋วยเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยในประเทศอังกฤษ โดยอาสาสมัครเข้าทำงานใน British Army Pioneers Corps ทำงานติดต่อระหว่างไทยกับสัมพันธมิตรใช้ชื่อรหัสว่า "เข้ม" นายป๋วยเข้าประเทศไทยโดยกระโดดร่มลงที่ชัยนาทและถูกเจ้าหน้าที่จับกุมนำตัวส่งเข้ากรุงเทพฯ งานสำคัญครั้งนั้นคือการติดต่อส่งข่าวทางวิทยุให้ฝ่ายสัมพันธมิตร นายป๋วยได้ทำหน้าที่ดังกล่าวจนถึงเดือนพฤษภาคม 2488 จึงได้รับอนุญาตให้กลับอังกฤษและได้รับการเลื่อนยศเป็นนายพันตรีแห่งกองทัพอังกฤษ
ประเทศอังกฤษนั้นเอง นายป๋วยได้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับการควบคุมดีบุก เริ่มเขียนปี 2489 และสอบปากเปล่าเสร็จปลายปี 2491 แต่มรสุมทางการเมืองทำให้ต้องเลื่อนเวลารับปริญญาเอกเป็นปี 2492 นายป๋วยได้แต่งงานกับนางสาวมาร์กาเร็ต สมิธ มีบุตรชายรวม 3 คน คือ นายจอน นายไมตรี และนายใจ อึ๊งภากรณ์
เริ่มรับราชการในกระทรวงการคลัง และมรสุมชีวิตครั้งใหญ่
นายป๋วยเข้ารับราชการในกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เมื่อปี 2492 และดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของสภาเศรษฐกิจแห่งชาติในปี 2496 เมื่อดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่อยู่ได้ 7 เดือนเศษ เนื่องจากไม่ยอมดำเนินนโยบายลู่ตามลมจึงต้องออกจากตำแหน่งนี้ไป ในปี 2499 นายป๋วยต้องเผชิญกับอำนาจมืดและอิทธิพลทางการเมือง ทำให้ต้องจากประเทศไทยไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลังประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในอังกฤษ ระหว่างนี้ได้มีส่วนช่วยให้ไทยขายดีบุกและยางพาราแก่อังกฤษและประเทศยุโรปได้มากขึ้น เมื่อไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสภาดีบุกระหว่างประเทศ นายป๋วยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนประเทศไทยและได้รับเลือกเป็นประธานสภาดีบุกระหว่างประเทศในปี 2501-2502
ปี 2501 นายป๋วยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ปลายปี 2502 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ในตำแหน่ง 12 ปี โดยได้ขอลาออกหลายครั้งหลายคราแต่ไม่ได้รับอนุมัติ นายป๋วยได้เสริมสร้างความมั่นคงให้เกิดแก่ระบบการธนาคารพาณิชย์ และสิ่งสำคัญกว่าอื่นใด คือ ได้ป้องกันนักการเมืองมิให้เข้าไปใช้อิทธิพลในการกำหนดนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2504 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ นายป๋วยยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานและคณะกรรมการที่สำคัญอีกหลายชุด ทำงานอุทิศตนให้แก่บ้านเมืองจนได้รับรางวัล รามอน แมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ประจำปี 2508
นายป๋วยรับตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2507 ได้ปฏิรูปงานสำคัญ 2 ด้านคือ การปรับปรุงหลักสูตรปริญญาตรี และการผลิตอาจารย์ ซึ่งเป็นผลให้จำนวนอาจารย์ประจำในคณะฯ ซึ่งมีเพียง 4 คน ในปี 2507 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 90 คน ในปีการศึกษา 2518 นอกจากนั้น ได้เริ่มหลักสูตรปริญญาโท ซึ่งสอนเป็นภาษาอังกฤษ และริเริ่มโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร
สิ่งที่นายป๋วยย้ำอยู่เสมอคือ ความเป็นธรรมในสังคม และเสรีภาพของประชาชน นายป๋วยต้องการเห็นเมืองไทยเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธี และยึดหลัก "ธรรมคืออำนาจ" มิใช่ "อำนาจคือธรรม" ดังจะเห็นจากพฤติกรรมส่วนตัวและข้อเขียนในจดหมาย "นายเข้ม เย็นยิ่ง" และบันทึกประชาธรรมโดยสันติวิธี
จากข้อเขียนนั้น ทำให้นายป๋วยต้องไปสอนหนังสือ ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ แต่ถึงกระนั้นเสียงข่มขู่เอาชีวิตก็ยังไปถึงประเทศอังกฤษ จึงได้ลาออกจากคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และที่ปรึกษากระทรวงการคลังเมื่อเดือนสิงหาคม 2515 หลังตุลาคม 2516 นายป๋วยได้กลับมาเป็นอาจารย์พิเศษประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และรับตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2518
เกียรติภูมิของท่านอาจารย์ป๋วย คือความเป็นคนที่ยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในสังคมไทย ซึ่งทำให้ท่านต้องออกนอกประเทศไปหลายหน โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายคือเมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519
ขณะนั้นการที่ท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่ามกลางการขยายตัวของสิทธิเสรีภาพในสังคมไทยภายหลังชัยชนะของขบวนการนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ทำให้ธรรมศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชน บทบาทของอาจารย์ป๋วย ในฐานะอธิการบดีจึงเป็นภาระอันหนักอึ้งที่จะบริหารมหาวิทยาลัย และคุ้มครองดูแลนักศึกษาให้ปลอดภัย
จากมรสุมทางการเมืองและภัยคุกคามทำให้อาจารย์ป๋วยต้องเดินทางไปพำนัก ณ ประเทศอังกฤษ อีกครั้ง จนถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคเส้นโลหิตในช่องท้องแตก เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2542 สิริรวมอายุได้ 84 ปี 4 เดือน 19 วัน
บทบาทต่อธนาคารแห่งประเทศไทย
ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าอยู่ในตำแหน่งนานที่สุด คือเป็นเวลาถึง 12 ปี ระยะแรกท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงบประมาณที่ตั้งขึ้นในปี 2502 ขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังด้วย ต่อมาก็รั้งตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และที่ปรึกษากระทรวงการคลัง เนื่องจากต้องรับภาระในตำแหน่งหน้าที่ที่สำคัญหลายด้านในเวลาเดียวกัน และเพื่อเปิดทางให้ผู้อื่นที่มีความสามารถได้มีโอกาสบริหารธนาคารกลางบ้าง ท่านจึงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในปี 2514
ในช่วงเวลา 12 ปี ของท่านที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนี้ นับว่าท่านได้มีส่วนร่วมอย่างมากในความสำเร็จของประเทศไทยที่ได้พัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน กล่าวคือ ท่านมีบทบาทสำคัญในการร่างกฎหมายการเงิน การคลังในช่วงดังกล่าว ตลอดจนการดำเนินงานด้านการเงินการคลัง และการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงแผนพัฒนาทั้งสองฉบับแรกมาโดยตลอด ในการจัดตั้งองค์กรทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ท่านได้มีส่วนร่วมในการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำหรับในด้านการพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ ท่านก็เข้าไปมีบทบาทด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในนโยบายกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ท่านได้กระตุ้นให้เกิดโครงการเร่งรัดพัฒนาชนบท และโครงการพัฒนาการศึกษาหลายโครงการ ทางด้านการพัฒนาระบบการเงิน ดร.ป๋วยก็มีบทบาทสำคัญในการยกร่างพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ในการกำหนดค่าเสมอภาคของเงินบาทตามข้อกำหนดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และในการพัฒนาตลาดทุน ท่านเป็นผู้ริเริ่มให้มีการศึกษาการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เปิดดำเนินการในช่วงต่อมา
สำหรับงานบริหารภายในธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงดังกล่าว ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางสร้างสรรค์หลายประการ ท่านเป็นผู้หลักดันให้มีการเปิดสาขาธนาคารในต่างจังหวัดทั้ง 3 แห่ง ทั้งที่หาดใหญ่ ขอนแก่น และลำปาง เริ่มงานพิมพ์ธนบัตรในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และมีการริเริ่มส่งนักเรียนทุนไปศึกษาต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทางด้านความร่วมมือกับต่างประเทศก็นับว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศเป็นอันมาก การจัดตั้งศูนย์วิจัยและฝึกอบรมของกลุ่มธนาคารกลางในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ที่เรียกว่า SEACEN Centre เป็นผลงานอันน่าภาคภูมิใจที่เกิดจากแรงผลักดันของธนาคารแห่งประเทศไทยภายใต้การนำของท่านโดยแท้
ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย คือ 11 มิ.ย. 2502 ถึง 15 ส.ค. 2514
ขอบคุณข้อมูล จาก บีบีซี และ ธนาคารแห่งประเทศไทย