สรุป 3 ต้นตอปัญหาถ่ายทอดสดลิขสิทธิ์บอลโลก 2022

12 ธ.ค. 2565 | 12:55 น.

กสทช. เจ็บไม่จำ  ถอดบทเรียน “อาร์เอส” กับเกมการฟ้องร้องของกสทช.ต่อ กกท.  นักกฎหมายเตือนกรณี กสทช. ทางออกขอคืนเงินยิ่งบานปลายไม่จบ

นาย นันทน อินทนนท์  นักกฎหมาย หุ้นส่วน สำนักงานกฎหมายระดับโลก ตีเลกี & กิบบินส์ เปิดเผยผ่านเฟสบุ๊ก “นันทน อินทนนท์” เกี่ยวกับปัญหาความวุ่นวายในการถ่ายทอดฟุตบอลโลกของไทย ซึ่งล่าสุด กสทช.มีมติให้เรียกเงินจำนวน 600 ล้านบาทคืนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. เนื่องจากเห็นว่า กกท.ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเอ็มโอยู โดยอ้างทำผิดกฎ Must Carry เนื่องจากโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกไอพีทีวีไม่สามารถรับชมได้

โดย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานบอร์ด กสทช. ได้เสนอทางแก้ปัญหาด้วยการขอให้ กกท.ยกเลิกเอ็มโอยูกับเอกชนและเปิดให้ไอพีทีวีถ่ายทอดการแข่งขันบอลโลก หรืออีกทางเลือกหรือคืนเงิน 600 ล้านบาท เพื่อที่จะได้ไม่ต้องต่อสู้กันในศาลปกครองฯ ในการนี้ นายนันทน ได้แสดงความเห็นบนเฟสบุ๊คของตนเองโดยระบุว่า “ไม่ค่อยอยากแสดงความคิดเห็นเรื่องข้อพิพาทระหว่างกสทช. กับ กกท. เลย

เพราะจริง ๆ แล้วแค่เปิดดูภาคผนวกแนบท้าย MOU ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร การร่าง MOU และภาคผนวกของ กสทช. ควรต้องมีความละเอียดรอบคอบ ประโยชน์ก็จะตกแก่ประชาชน แต่ท่าน กสทช. มาชักจูงให้ กกท เลิกสัญญา นี่ก็ไม่ถูกต้องนะครับ นักกฎหมายเรียกว่า “การละเมิดโดยการชักจูงให้มีการผิดสัญญา” (Tort of Inducement of Breach of Contract) อย่าหาทำเลย”

ด้านนักวิชาการด้านการตลาด วิเคราะห์ต่อไปว่า การฟ้องร้องระหว่างภาครัฐ มีให้เห็นไม่บ่อยนัก ซึ่งมหกรรมฟุตบอลโลกใกล้จะจบ แต่ปัญหาค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดยังไม่จบ ซึ่งหากย้อนไปก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มขึ้น 2 สัปดาห์ ปัญหาของประเทศไทยคือ คนไทยมีโอกาสไม่ได้รับชมฟุตบอลโลก โดย กสทช. ถูกตั้งคำถามมากมาย ในฐานะผู้ออกกฎ Must Have, Must Carry ซึ่งเป็นกฎการซื้อคอนเทนต์กีฬาระดับโลกมาแจกฟรีให้คนไทยดู

แต่ปัญหาคือไม่มีเจ้าภาพลงทุนซื้อลิขสิทธิ์เพื่อมาแจกจ่ายให้ดูฟรี ทำให้เผือกร้อนไปอยู่ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซึ่งเป็นเหมือนฮีโร่ที่ใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ ทำให้คนไทยได้ดูการแข่งขันฟุตบอลโลก ทั้งนี้เมื่อ กสทช.ออกมาแจ้งว่า จะฟ้อง กกท. ผิดกฎ Must Carry เพราะกสทช.ต้องการให้ กล่อง IPTV ถ่ายทอดฟรีไปด้วย ทำให้เดือดร้อนไปถึงฟีฟ่า

ที่ออกมาเตือนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้คำถามย้อนกลับไปถาม กสทช. ต้นตอปัญหาการออกกฎ  Must have, must carry ว่า การอนุมัติจ่ายแค่ 600 ล้านบาท จากราคาลิขสิทธิ์ 1,600 ล้านบาทนั้น เงินที่เหลือจะหาใครมาจ่ายให้คนดูฟรี ในความเป็นจริง ในเวลาจำกัด ไม่สามารถทำได้ และ กสทช. ไม่ได้เสนอทางออกให้กับ กกท.และไม่เข้าใจการทำธุรกิจ ซึ่งผู้ลงทุนก็ย่อมต้องการผลตอบแทนจากการลงทุน แต่กสทช.กลับยึดกฎ Must carry อยู่เหนือกฎหมายลิขสิทธิ์ที่ใช้กันทั่วโลก

“กสทช. มีวิธีคิดที่เป็นมายาคติ ออกกฎ must carry ให้คนไทยทุกคนได้ดูกีฬาระดับโลกในทุกแพลตฟอร์มฟรี โดยหวังว่าจะมีคนโง่ไปซื้อมาแจก เหมือนไม่ได้เรียนวิชาการตลาด 101 ว่า การลงทุนจะต้องมองถึงผลตอบแทนที่คุ้มทุน ด้วยตรรกกะวิบัติ ทำให้หาคนมาประมูลรายการฟุตบอลโลกไม่ได้ ในขณะที่ทั่วโลกเค้าได้ลิขสิทธิ์ไปในราคาถูก เวียดนาม ถือลิขสิทธิ์โดยสถานีโทรทัศน์และวิทยุแห่งชาติเวียดนาม มูลค่า 532 ล้านบาท มาเลเซีย ซื้อลิขสิทธิ์มูลค่า 261.50 ล้านบาท และ สิงคโปร์ StarHub, Singtel และ Media corp ซื้อลิขสิทธิ์มูลค่า 948 ล้านบาท ทำให้ประเทศไทยล้าหลังมาจนกระทั่งจะถ่ายทอดฟุตบอลโลก แต่ยังหาคนมาประมูลไม่ได้ ร้อนถึง กกท. ที่ต้องหาเงินมาจ่ายสูงถึง 1,600 ล้านบาท แถมยังมาถูก กสทช. ตลบหลัง เอาดีเข้าตัว ปล่อยให้ กกท. รับบทหนักไปคนเดียว” อีกมุมหนึ่งที่สะท้อนเรื่องราวต่อปัญหาการถ่ายทอดบอลโลก พร้อมสรุปให้เห็นถึง 3 ต้นตอแห่งปัญหา

  •  ต้นตอที่ 1: รู้ว่า must have, must carry ทำลายตลาด ทำให้ผู้ลงทุนทุกรายขาดทุน ทำไม กสทช.ประกาศ Must Have และ Must Carry ทำให้การซื้อลิขสิทธิ์ล่าช้า เพราะเอกชนขาดแรงจูงใจที่จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ซ้ำยังทำให้ค่าลิขสิทธิ์แพงขึ้น กสทช.จะรับผิดชอบอย่างไร ที่ออกกฎดังกล่าว โดยไม่รับผิดชอบผลที่ตามมา ค่าลิขสิทธิ์มหกรรมกีฬาสำคัญมีราคาสูง แต่เมื่อซื้อมาแล้วกลับต้องอนุญาตให้ฟรีทีวีเอาไปเผยแพร่ต่อได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ถือเป็นตรรกะที่วิบัติหรือไม่ และใครจะรับผิดชอบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
  •  ต้นตอที่ 2: กกท.ขอ 1600 ล้านบาท แต่อนุมัติแค่ 600 ล้านบาท โดยหวังผลเลิศ ซึ่งหาก กกท. ถามกลับไปยัง กสทช.ว่า หากต้องเป็นผู้หาเงินเอง จะหาเงินสนับสนุนมาจากไหน เงินจำนวน 600 ล้านบาทจาก กสทช. ที่มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุน กทปส. ก็เพราะมีกฎที่ กสทช. ออกมา ทำให้หาคนมาสนับสนุนไม่ได้ หาก กสทช. สนับสนุนเงินที่ขาดไปทั้งหมด ก็คงจะไม่เกิดปัญหาดังเช่นทุกวันนี้ 
  •  ต้นตอที่ 3 : ทำไม กสทช. ยังไม่ยกเลิก Must Carry, Must Have  ทั้งที่มีปัญหามาตั้งแต่กรณี “บมจ.อาร์เอส” ที่ซื้อลิขสิทธิ์ 2010 FIFA World Cup South Africa  ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท ทั้งจากการขายสปอนเซอร์ และการขายกล่องรับสัญญาณ แต่เมื่อเจอกฎ Must Have และ Must Carry ทำให้ “อาร์เอส” ต้องเปิดให้ฟรีทีวีร่วมถ่ายทอดสด แม้อาร์เอสจะชนะคดีได้รับเงินเยียวยาจาก กสทช.แต่ก็ไม่เต็มจำนวน ทำให้ต้องรับภาระหนัก  นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ซึ่งเคยเผชิญกับปัญหาการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ได้ทวีตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 8 พ.ย.65  ระบุว่า ขอให้เรื่องบอลโลกเป็นกรณีศึกษาการทำงานของภาครัฐเถอะนะ  ถ้าเงินก้อนนี้ผ่านออกมาจาก กสทช. ได้ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับประเทศไทย ในอนาคตเวลา regulator จะออกกฎต้องคิดให้รอบคอบ