จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ภาพหลักฐานการผ่อนชำระค่างวดบ้าน ระบุยอดชำระ 10,900 บาท แบ่งเป็นดอกเบี้ย 10,894.50 บาท และเป็นเงินต้น 5.50 บาท โดยยังมียอดเงินต้นคงเหลืออีก 2,140,425.87 บาท
ทำให้โลกโซเชียลต่างพากันแชร์หลักฐานการผ่อนชำระค่างวดบ้านของตนเอง ที่มีการจ่ายดอกเบี้ย สูงกว่าจำนวนเงินต้นกันอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลายๆคนที่กำลังผ่อนบ้านต่างพากันกังวลถึงจำนวนดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
3 พ.ย. 2566 รศ.ดร.นงนุช ตันติสันติวงศ์ นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ การเงินและการคลังและภาษี มหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม เทรนต์ ประเทศอังกฤษ และ Visiting Academic, School of Electronics & Computer Science, University of Southampton ได้โพสต์เฟซบุ๊ก อธิบายถึงหลักการในการคิดคำนวณค่างวด และดอกเบี้ย พร้อมให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังผ่อนบ้าน หรือคอนโดในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นนี้
โดยรศ.ดร.นงนุช ได้อธิบายวิธีคิดคำนวณค่างวดผ่อนบ้านว่า เป็นการกู้แบบระยะยาว หรือที่ Term Loan ซึ่งในระบบการเงินทั่วโลก มีการคำนวณค่างวด 2 แบบ
สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการจ่ายงวดแบบที่ 2 วิธีคำนวณจะมีลักษณะดังนี้
หากกู้มา 1 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6 ธนาคารกำหนดให้ส่งเดือนละ 7,072.92 บาท
ในงวดที่ 1 จ่าย 7,072.92 บาท แบ่งเป็นดอกเบี้ย 4,867.55 บาท เงินต้นชำระคืน 2,205.37 บาท แปลว่ามูลค่าหนี้ลดลงเหลือ 997,794.63 บาท
ในงวดที่ 2 จ่าย 7,072.92 บาท ประกอบด้วยดอกเบี้ย 4,856.82 บาท เงินต้นชำระคืน 2,216.10 บาท จ่ายไปเรื่อยๆ ไม่มีจ่ายเกินค่างวด สัดส่วนของเงินต้นที่ถูกหักลดไปในแต่ละงวดจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ในงวดสุดท้ายจะเหลือดอกเบี้ยที่ต้องชำระเพียง 34.26 บาทเท่านั้น ที่เหลือ 7,038.66 บาท คือเงินต้นที่เหลือที่ต้องจ่ายในการปิดยอดสุดท้าย
การจ่ายแบบลดต้นลดดอกแบบนี้ใช้เวลา 20 ปี ในการปลดหนี้ 1 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยรวมตลอด 20 ปี เท่ากับ 697,500.96 บาท หรือ 2,906.25 บาท/เดือน คิดเป็น 0.29% ต่อเดือน
รศ.ดร.นงนุช ย้ำด้วยว่า แม้จะคิดจากดอกเบี้ยตั้งต้นที่ 6% ต่อปี แต่ด้วยวิธีการจ่ายแบบที่ 2 ความจริงจะจ่ายดอกน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยที่เห็นบนตารางวันแรก ขอแค่อย่าค้างจ่าย
1. ถ้าอยากจ่ายดอกเบี้ยรวมทั้งหมดตลอดระยะเวลาการกู้ให้น้อยที่สุด ก็ให้เลือกอายุสัญญาสินเชื่อที่สั้น แต่หากอายุสัญญาสั้น ก็แปลว่าต้องจ่ายแต่ละงวดเป็นเงินจำนวนที่มากขึ้นด้วย เพื่อรีบจ่ายคืนเงินต้น
เพราะเงินต้นที่ค้างลดลง หมายถึงดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดถัดไปลดลง เงินค่างวดจะถูกเอาไปตัดเงินต้นได้ในจำนวนมากขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่างวดด้วย
2. เลือกจำนวนเงินค่างวดโดยคำนึงถึงรายได้และรายจ่ายในแต่ละเดือน + ค่าใช้จ่ายเผื่อเหลือเผื่อขาดเวลาฉุกเฉินไว้ด้วย
3. จ่ายค่างวดให้ตรงเวลา