อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ “อ่อนค่า” ที่ระดับ 33.32 บาท/ดอลลาร์

20 ก.ย. 2564 | 00:14 น.

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอาจผันผวนตามราคาทองคำ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์การประชุม FOMC ผู้เล่นในตลาดอาจเข้ามาแลกเงินดอลลาร์เพื่อซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.32 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่า”ลงจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า  ที่ระดับ 33.25 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์เดินหน้าแข็งค่าขึ้นจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด รวมถึงรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีขึ้นมากกว่าคาด

 

สำหรับสัปดาห์นี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุม FOMC โดยเฉพาะประเด็นการปรับลดการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ คิวอี

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

 

ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดจะจับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด หลังจากล่าสุด โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอลง ซึ่งเป็นไปได้ว่า เฟดอาจมองว่า ปัจจัยเชิงลบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ อาทิ ผลกระทบของการระบาด Delta รวมถึง ความวุ่นวายทางการเมืองสหรัฐฯ จากการพิจารณาเพดานหนี้ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงชั่วคราว

 

ในขณะที่ ทั้งอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงาน เริ่มเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดมากขึ้น ทำให้ในการประชุมครั้งนี้ แม้ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.00-0.25% แต่เรามองว่า เฟดอาจเริ่มส่งสัญญาณการปรับลดคิวอีที่ชัดเจนมากขึ้น ส่วนการประกาศลดคิวอี รวมถึงรายละเอียดแผนการลดคิวอีที่ชัดเจนอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนพฤศจิกายน และ เฟดอาจเริ่มลดคิวอีได้จริงในเดือนธันวาคม

 

นอกเหนือจาก การประชุมเฟด ตลาดจะจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่าน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนกันยายน ซึ่งตลาดมองว่า การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริการอาจสะดุดลงเล็กน้อย ทำให้ขยายตัวในอัตราชะลอลง ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการที่จะลดลงสู่ระดับ 60.8 จุด และ 55 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)

 

ฝั่งยุโรป – การฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจอังกฤษ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์มองว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น (Tightening Policy) อาทิ อาจมีเสียงสนับสนุนการทยอยลดคิวอีมากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดมองว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% และอาจเริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ในครึ่งหลังของปีหน้า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามเป้า

 

อย่างไรก็ตาม ในฝั่งยุโรป กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคการบริการ อาจขยายตัวในอัตราชะลอลงจากผลกระทบของการระบาด Delta ทั่วโลก โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยุโรป ในเดือนกันยายน อาจลดลงสู่ระดับ 60.4 จุด และ 58.5 จุด ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่จะลดลงสู่ระดับ 98.9 จุด ในเดือนกันยายน

 

ฝั่งเอเชีย – บรรดาธนาคารกลางในเอเชีย มีแนวโน้มที่จะคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่เริ่มจะทยอยฟื้นตัวได้ หลังปัญหาการระบาดของ COVID-19 ในเอเชียอาจผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้ว โดยในฝั่งธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.125%   อนึ่ง CBC อาจทยอยส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หลังเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการระบาดไม่มากนัก

 

 ส่วนทางด้าน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% พร้อมทั้งเดินหน้าอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการซื้อสินทรัพย์ต่อ เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.5% เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การระบาดเริ่มดีขึ้น

 

 

 

 

 อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจเผชิญความหนักใจในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.0% เนื่องจากสถานการณ์การระบาดในประเทศยังคงมีความรุนแรงอยู่ ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับสูง

ฝั่งไทย – ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ที่มีความรุนแรงมาก ทั้งในต่างประเทศและในประเทศช่วงเดือนสิงหาคม จะกดดันให้ ยอดการส่งออกไทย (Exports) ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เหลือ +17%y/y เช่นเดียวกับ ยอดนำเข้า (Imports) ที่จะขยายตัวเพียง +40% ทั้งนี้ ดุลการค้ายังคงเกินดุลราว 1.4 พันล้านดอลลาร์

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราคาดว่าในระยะสั้น เงินบาทยังคงถูกกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทย จากความกังวลการระบาดหลังการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติลดการเก็งกำไรเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติต่างเทขายบอนด์ระยะสั้นออกมาจำนวนมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ เงินบาทอาจผันผวนตามราคาทองคำได้เช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์การประชุม FOMC ที่ราคาทองคำอาจผันผวนขึ้นได้ (ราคาทองคำปรับตัวลง ผู้เล่นในตลาดอาจเข้ามาแลกเงินดอลลาร์เพื่อซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง หรือ กล่าวโดยสรุปได้ว่า ราคาทองลง เงินบาทอ่อนค่าลง)

ส่วนในมุมแนวโน้มเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีความเสี่ยงถูกขายทำกำไร หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณการลดคิวอีไปมากกว่าที่ตลาดรับรู้แล้ว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงต่อได้ หากเฟดแสดงความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังโมเมนตัมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลง

 

ทั้งนี้ หลังจากที่เงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ในสัปดาห์ที่ผ่าน ทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทจะขยับอ่อนค่าลงจากช่วงก่อนหน้า โดย เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่ากลับไปที่ระดับดังกล่าวได้ ขณะเดียวกัน โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์จะเป็นแนวรับที่บรรดาผู้นำเข้ารอทยอยแลกซื้อเงินดอลลาร์อยู่

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.40 บาท/ดอลลาร์

 

ทางด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าในช่วงเช้าวันนี้ ไปที่ระดับ 33.35-33.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือน เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 33.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นก่อนการประชุม FOMC ของสหรัฐฯ ซึ่งถูกคาดหมายว่า เฟดอาจให้สัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับการปรับลดวงเงิน QE  

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.25-33.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดของไทย และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ย.  ของสหรัฐฯ