คาดเด็กอเมริกา 5-11 ปีเริ่มฉีดวัคซีน Pfizer เดือน ต.ค.-Moderna เดือน พ.ย.

13 ก.ย. 2564 | 03:51 น.

หมอเฉลิมชัยเผยข้อมูลคาดเด็กอเมริกาอายุ 5-11 ปีจะเริ่มฉีดวัคซีน Pfizer ในเดือนตุลาคม และฉีด Moderna ในเดือนพฤศจิกายน

รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
คาดว่าเด็กอเมริกันอายุ 5-11 ปี จะเริ่มฉีดวัคซีน Pfizer ได้ในเดือนตุลาคม 2564 และฉีดของ Moderna ได้ในเดือนพฤศจิกายน 2564
ประเด็นที่พ่อแม่ผู้ปกครองและคุณครู ให้ความสนใจเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 กันมากทั่วโลกในขณะนี้คือ ทำอย่างไร เด็กจะสามารถไปโรงเรียนได้ โดยมีความมั่นใจว่าจะไม่ติดโควิดจากเพื่อน
เหตุที่เป็นประเด็นต้องพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบ เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่ จะติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิดแบบไม่ค่อยแสดงอาการ และอาการก็ไม่ค่อยรุนแรงมากนักด้วยเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ จึงทำให้ประโยชน์ที่ได้จากการป้องกันโควิดโดยการฉีดวัคซีนในเด็กมีน้อยกว่าผู้ใหญ่
จึงต้องชั่งใจเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน ว่าจะต้องปลอดภัยค่อนข้างมาก จึงจะคุ้มค่าในการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก
ในช่วงที่ผ่านมา มีรายงานเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่ฉีดวัคซีนเทคโนโลยี mRNA ของ Pfizer และ Moderna มีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
จึงทำให้เกิดการชะลอการพิจารณาฉีดวัคซีน mRNAให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ทั้งที่ได้รับอนุมัติให้ฉีดใน สถานการณ์ฉุกเฉิน(EUA)ในสหรัฐอเมริกาได้แล้ว

ขณะนี้มีรายงานข่าวจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางด้านสุขภาพของสหรัฐแจ้งว่า Pfizer กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นขออนุมัติต่อ USFDA ขึ้นทะเบียนแบบฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเด็กอายุ 5-11 ปี คาดว่าจะสามารถยื่นได้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ซึ่งปกติแล้ว USFDA จะใช้เวลาพิจารณาประมาณสามสัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เคยใช้พิจารณาการอนุมัติให้ฉีดในเด็กอายุ 12,16 ปีขึ้นไปมาแล้ว ผู้ปกครองและคุณครูจำนวนมากกำลังตั้งตารอการอนุมัติครั้งนี้ เพราะกำลังจะเปิดโรงเรียนในอีกไม่นาน ส่วนวัคซีนของบริษัท Moderna ก็จะตามหลังอยู่ประมาณสามสัปดาห์ คาดว่าน่าจะยื่นขอ และได้รับอนุมัติได้ก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564
อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารของทั้งสองบริษัท ยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

เด็กอเมริกัน 5-11 ปี จะเริ่มฉีดวัคซีน Pfizer ได้เดือนตุลาคม
ขณะนี้วัคซีนของ Pfizer ได้รับการอนุมัติเต็มรูปแบบ สำหรับฉีดอายุ 16 ปีขึ้นไป และอนุมัติฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับอายุ 12-15 ปี
ส่วนที่กำลังจะขอยื่นฉีดแบบ EUA ครั้งนี้ จะเป็นของอายุ 5-11 ปี โดยกำลังเก็บข้อมูลของเด็กอายุ 2-5 ปีเป็นเฟสต่อไปด้วย ในขณะเดียวกัน วัคซีนเทคโนโลยีเชื้อตายของ Sinovac และ Sinopharm ก็กำลังเก็บข้อมูลกันอย่างเต็มที่ในประเทศจีน โดยฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 3 ขวบขึ้นไป คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้ ก็คงจะได้รับการยื่นจดทะเบียนเช่นกัน
สถานการณ์การฉีดวัคซีนในเด็ก
ยูเออี อนุญาตให้ฉีดตั้งแต่สามขวบขึ้นไป ประเทศชิลีอนุญาตให้ฉีดหกขวบขึ้นไป ทั้งสองประเทศนี้ใช้วัคซีนเชื้อตาย

เด็กอเมริกัน 5-11 ปีฉีด Moderna ได้ในเดือนพฤศจิกายน
ส่วนในสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ฉีดในอายุ 12 ปีขึ้นไป ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ส่วนอังกฤษนั้นมีความแตกต่างกัน อายุ 12-15 ปี ยังไม่เห็นชอบให้ฉีดเป็นการทั่วไป อนุญาตให้ฉีดเฉพาะเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น
การติดตามเรื่องวัคซีนที่จะฉีดในเด็ก จึงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะยังเห็นแตกต่างกันอยู่พอ

สำหรับในประเทศไทยนั้น "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่า ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศคำแนะนำเพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนเกี่ยวกับการรับวัคซีนโดยสำรวจผู้ที่มีภาวะเสี่ยงและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ดังนี้ ฉีด ผู้ที่มีภาวะเสี่ยง กลุ่มอายุ 12-13 ปี น้ำหนัก 70 กิโลกรัม, กลุ่มอายุ 13-15 ปี น้ำหนัก 80 กิโลกรัม, กลุ่มอายุ 15-18 ปี น้ำหนัก 90 กิโลกรัม
ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่
1. โรคอ้วน ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น
2. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
3. โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
4. โรคไตวายเรื้อรัง
5. โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ
6. โรคเบาหวาน
7. กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์ เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการช้า

การจัดสรรวัคซีนในประเทศไทย
ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มีการฉีดให้แก่กลุ่มเด็กและวัยรุ่นไปบ้างแล้ว โดยเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน  ฯลฯ  และเตรียมฉีดให้เด็กอีก 5 ล้านคนทั้งประเทศ ขณะที่กรุงเทพมหานคร เตรียมฉีดให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยงสังกัดกรุงเทพมหานคร  อายุตั้งแต่ 12 - 18 ปี
เมื่อวันที่ 10 กันยายน 64 ศบค.ได้มีการเปิดแผนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยนั้น ในเดือนต.ค.นี้ จะมีวัคซีนทั้งหมด 24 ล้านโดส แบ่งเป็น เป็นซิโนแวค 6 ล้านโดส แอสตร้าเซนเนก้า 10 ล้านโดสและไฟเซอร์ 8 ล้านโดส
โดยวัคซีนดังกล่าว ได้มีการนำมาพิจารณาจัดสรรแยกตามกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง กลุ่มนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี ทั้งประเทศ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 กลุ่มที่จะได้รับวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.-31 ต.ค.2564 
จะใช้สูตร ไฟเซอร์ 2 เข็ม ร้อยละ 20 ของจำนวนวัคซีนทั้งหมดในเดือนต.ค. หือ 4.8 ล้านโดส
สำหรับการให้บริการวัคซีนไฟเซอร์ สำหรับผู้ที่มีอายุ 12-17 ปี ในประเทศไทย มีดังนี้
กลุ่มเป้าหมาย นักเรียน/นักศึกษา ที่ศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช./ปวส. )หรือเทียบเท่า แบ่งเป็น 2 ระยะ
ระยะแรก จัดสรรสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 หรือ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช./ปวส.)เทียบเท่า
ระยะถัดไป จัดสรรวัคซีนสำหรับระดับชั้นอื่นๆ ที่เหลือ
ส่วนรูปแบบการให้บริการ จะให้ผ่านสถาบันการศึกษา อาทิ
โรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดรัฐบาลและเอกชน
สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
โรงเรียนสอนศาสนา
สถาบันการศึกษาอื่นๆ ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป เช่น โรงเรียนทหารเป็นต้น
อย่างไรก็ดี หากนักเรียน/นักศึกษาในสถาบันการศึกษาดังกล่าวมีอายุเกิน 18 ปี ให้รับวัคซีนไฟเซอร์ได้