สตช.ยัน คดีผู้กำกับโจ้ จับกุมผู้ต้องหาจริง แจงข่าวปลอม ผิด พรบ.คอมฯ

31 ส.ค. 2564 | 09:46 น.

สตช.ยืนยันดำเนินคดี อดีตผู้กับกำโจ้ ตัวจริง หลังโซเชียลแห่แชร์ ข่าวปลอม จับกุมแพะ วอน ประชาชนอย่าหลงเชื่อ ขณะผู้โพสต์ มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมฯ จำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสน

31 สิงหาคม 2564 - จากกรณีโซเชียลมีเดีย แห่แชร์ข่าว 'ผู้กับกำโจ้ตัวปลอม' จับผิดสังเกตหลายรูปพรรณสัณฐาน ทั้งรูปร่างที่ผอมซูบลง ลักษณะใบหน้า และ ทรงผม ไม่ตรงกับภาพผู้กับกำโจ้ที่ปรากฎในสื่อก่อนหน้า โดยเกรงกันว่า เป็นการจัดฉากของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ล่าสุดวันนี้ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันว่า มีการตรวจพบข่าวปลอมเพิ่มเติมกรณี “อดีตผู้กำกับโจ้ ที่ถูกคุมตัวมาดำเนินคดีเป็นตัวปลอม”แล้ว 

สตช.ยัน คดีผู้กำกับโจ้  จับกุมผู้ต้องหาจริง  แจงข่าวปลอม ผิด พรบ.คอมฯ

โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง กับ สภ.เมืองนครสวรรค์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ ทางสภ.เมืองนครสวรรค์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ชี้แจงว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดย พ.ต.ท.ทรงพล สุ่มนิล รอง ผกก.สอบสวน หน.งานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ รับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นคณะสอบสวนคดีผู้กำกับโจ้ อดีตผู้บังคับบัญชา ยืนยันว่าในวันมอบตัวมีการพบและพูดคุยกับอดีตผู้กำกับโจ้ จึงยืนยันว่าเป็นตัวจริง เนื่องจากการนำตัวไปฝากขังนั้นต้องทำการยืนยันตัวตนด้วย

 

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.royalthaipolice.go.th หรือโทร 1599

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป

 

ที่มา : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ