ตลาดรถยนต์ 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.68) ขายได้ 4.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในจำนวนนี้เป็นของรถยนต์ไฟฟ้า EV 81,351 คัน เพิ่มขึ้น 55.8%
เซกเมนต์ EV ที่ขับเคลื่อนโดยแบรนด์จีน บีวายดี ทำยอดขายเป็นอันดับหนึ่ง 32,281 คัน (รวม DENZA) เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทว่ามาตรการ EV3.0 ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ทำให้ เรเว่ ออโตโมทีฟ ออกมายืนยันว่าใครซื้อรถปี 2569 ราคาจะแพงขึ้นแน่นอน
โดย เรเว่ ออโตโมทีฟ เปิดแคมเปญถึงสิ้นปี BYD DOLPHIN Standard รับส่วนลด 120,000 บาท เหลือ 449,900 บาท DOLPHIN Extended ส่วนลด 140,000 บาท เหลือ 569,900 บาท
BYD ATTO 3 Premium ส่วนลด 170,000 บาท เหลือ 629,900 บาท BYD ATTO 3 Extended ส่วนลด 200,000 บาทเหลือ 699,900 บาท
กลุ่มธุรกิจเรเว่ รายงานว่า มาตรการ EV 3.0 ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มีการสนับสนุนอยู่ที่คันละ 150,000 บาท สำหรับรถยนต์รุ่น BYD DOLPHIN และ BYD ATTO 3 ซึ่งเมื่อหมดมาตรการดังกล่าว ทาง เรเว่ คาดการณ์ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าจะปรับขึ้น โดยสอดคล้องกับโครงสร้างราคาที่เปลี่ยนแปลงไป
ภายใต้โครงการ EV3.0 ซึ่งมีจำนวนจำกัด หากสินค้าหมดจะถือว่าสิ้นสุดแคมเปญทันที โดยแคมเปญมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2568 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด และหากในช่วงระยะเวลาของแคมเปญนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มีแคมเปญอื่นที่ดีกว่าแคมเปญนี้จากทางบริษัทฯ บริษัทฯ การันตีการชดเชยส่วนต่างให้ลูกค้าที่ซื้อรถตามแคมเปญนี้
ทั้งนี้ บีวายดี เป็น EV ที่ขายมากที่สุดในโครงการ EV3.0 และต้องผลิตในประเทศชดเชย จากโรงงานบีวายดี ออโต้ จ.ระยอง ในปี 2567-2568 นี้ ซึ่งมีจำนวนรวมกว่า 2 หมื่นคัน
นอกจากบีวายดี แล้ว บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จีน หลายรายที่เข้ามาตรการ EV3.0 เพื่อรับเงินสนับสนุนและสิทธิประโยชน์ต่างๆ นำเข้ารถมาขายก่อน แต่จากนั้นต้องผลิตในประเทศคืนภายในสิ้นปี 2568 ตามเงื่อนไข (ถ้าทำยอดไม่ถึงต้องขอโอนไปเป็น EV3.5 ที่บังคับผลิตเพิ่มขึ้นอีก) คาดว่ายอดรวมของทุกค่ายที่ต้องผลิตชดเชยใน EV3.0 ปี 2568 จะมีถึง 1 แสนคัน
นายเวยน์ โจว กรรมการผู้จัดการ GWM ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯ เปิดแคมเปญ Good Cat Good Will ข้อเสนอพิเศษกับโอกาสสุดท้ายในการเป็นเจ้าของ ORA Good Cat ภายใต้มาตรการ EV 3.0 สำหรับลูกค้าที่จองและออกรถตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568
GWM การันตีข้อเสนอเดียวกับงาน Motor Expo 2025 กับสิทธิประโยชน์สูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวโดยไม่ต้องรอถึงงาน และหากในงาน Motor Expo 2025 มีการมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติม GWM จะขยายสิทธิประโยชน์นั้นให้กับลูกค้าที่ซื้อก่อนหน้าโดยอัตโนมัติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า และตัดความกังวลด้านการทำสงครามราคาออกไป
ปัจจุบัน ORA Good Cat รุ่น PRO ราคา 599,000 บาท รุ่น ULTRA 699,000 บาท โดย GMW ไม่ได้ลดราคาลงมาเพิ่มเติม แต่ใช้แคมเปญ Good Cat Good Will คือบริษัทจะช่วยผ่อน 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 12 เดือน รวมมูลค่า 60,000 บาท พร้อมแถมประกันภัยชั้นหนึ่ง 2 ปี
ด้าน MG4 D Standard Range MG ลด 190,000 บาท เหลือ 519,900 บาท MG4 D+ Long Range ลด 140,000 บาท เหลือ 629,900 บาท
GAC AION UT ที่นำเข้าจากจีน มาขายช่วงกลางปี 2568 ได้รับเงินสนับสนุนคันละ 1 แสนบาท ตามมาตรการ EV 3.5 และหากโรงงานของบริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด จ.ระยอง เริ่มผลิตต่อเนื่องในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปี 2569 ทันที จะได้รับเงินสนับสนุนและสิทธิ์ประโยชน์ต่างๆ จากภาครัฐตามเดิม
GAC พยายามเคลียร์สต๊อกตัวนำเข้า AION UT โดยรุ่น 420 Standard รับส่วนลด 50,000 บาท เหลือ 469,900 บาท (ราคาเดิม 519,900 บาท) รุ่น 500 Premium ลด 70,000 บาท เหลือ 599,900 บาท (เดิม 669,900 บาท) พร้อมรับ Home Charger และ Lifetime Warranty สำหรับลูกค้า 2,000 คนแรกที่ซี้อรถระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 นี้
นายโคจิ อิวานามิ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ไทยไม่ได้ขยายตัวมากนัก ส่วนสถานการณ์ของฮอนด้าปีนี้ น่าจะใกล้เคียงกับปี 2567 และต้องยอมรับว่า EV จีนเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น ด้วยจุดเด่นคือ เป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% ดีไซน์ ฟังก์ชันอัจฉริยะ และราคาถูก
“ตอนนี้ฟังก์ชันรถยนต์ฮอนด้า อาจจะสู้กับ EV จีนไม่ได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องลดราคาลงสู้ ดังเช่น Honda City คาดว่าถึงสิ้นปีนี้ยอดขายฮอนด้าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ที่ทำได้ 76,574 คัน”
ปัจจุบันฮอนด้า กำลังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับแบรนด์จีน แต่ในช่วง 3-5 ปีนี้จะมีรถไฮบริด ทำตลาดเป็นหลัก ส่วน EV มีแผนประกอบในไทยที่โรงงาน จ.ปราจีนบุรี เช่นกัน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยช่วงเวลาเริ่มดำเนินการได้ ส่วนปี 2569 เตรียมนำเข้า EV รุ่นใหม่มาทำตลาดก่อน
ฮอนด้า ตั้งเป้าหมายว่า ปี 2573 ยอดขายจะกลับมาถึง 1 แสนคันต่อปี และกลับมาเป็นแชมป์ เซกเมนต์รถยนต์นั่งอีกครั้ง โดยคู่แข่งสำคัญคือ Toyota และ BYD
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์เดือนกันยายน 2568 มียอดขาย 48,350 คัน เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กลุ่มรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 25.5% รถเพื่อการพาณิชย์ ปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 28,679 คัน เพิ่มขึ้น 24.4% ขณะที่ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 14,354 คัน เพิ่มขึ้น 2.7%
รถยนต์ในกลุ่ม HEV มียอดขาย 12,756 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 73.45% และมียอดขายสะสม 9 ดือนแรกถึง 102,372 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 51% ของตลาด xEV ทั้งหมด
ทั้งนี้ ตลาดรถยนต์เดือนตุลาคม มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภครอแคมเปญใหญ่ปลายปีอย่าง Motor Expo 2025 ทำให้การตัดสินใจซื้อชะลอตัว ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อยังอยู่ในระดับสูง ยังคงกดดันความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ
สำหรับสถานการณ์ตลาดปลายปี 2568 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างมองตรงกันว่า เซกเมนต์ EV จะมียอดขายรวมทุกยี่ห้อถึง 1 แสนคัน (ปี 2567 ทำได้ประมาณ 7 หมื่นคัน) ส่วนหนึ่งเพราะการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และการเข้าร่วมมาตรการ EV3.0 ส่งผลให้หลายค่ายต้องเร่งผลิตคืนให้ทันตามเงื่อนไขโครงการภายในสิ้นปีนี้ ไม่เช่นนั้นจะต้องขยับแผนไปเป็น EV3.5 ที่เงื่อนไขการผลิตคืนเข้มข้นกว่ามาก
แหล่งข่าวจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ เปิดเผยว่า มาตรการ EV 3.5 ภาครัฐจะให้เงินสนับสนุนลดลง หรือสูงสุด 100,000 บาท/คัน และบังคับให้ผลิตชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 อัตราส่วน 1 : 2 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และเพิ่มเป็น 1 : 3 หากผลิตภายในปี 2570 ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากจีน ที่นำเข้า EV มาขายได้จำนวนมากในตอนนี้ แต่มีภาระต้องผลิตคืนซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
“ส่วนกลุ่มที่เข้ามาตรการ EV 3.0 เชื่อว่าช่วงปลายปีนี้ เตรียมทำสงครามราคาแน่นอน จากซัพพลายที่ต้องผลิตคืน ดังนั้นการผลิตให้ได้ตามเงื่อนไข แล้วมาระบายสต๊อกด้วยการลดราคา ยอมขายขาดทุน น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการเสียค่าปรับ หรือโยกโควตาไปผลิตตามโครงการ EV3.5 ที่มีภาระการผลิตเพิ่มขึ้น”แหล่งข่าวกล่าว