"เทสลา" เปิดตัว Model Y ในมาเลเซีย ทุบราคาถูกกว่าไทยเกือบ 5 แสนบาท

21 ก.ค. 2566 | 02:03 น.

"เทสลา" ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน เปิดตัวเทสลา Model Y ที่ประเทศมาเลเซียอย่างอลังการวานนี้ (20 ก.ค.) โดยตั้งราคาเปิดตัวที่ประมาณ 1.49 ล้านบาท ถูกกว่าราคาเปิดตัวทั้งในไทยและสิงคโปร์

 

บริษัทเทสลา อิงค์ (Tesla Inc.) เปิดตัวรถยนต์รุ่น Model Y ในงานที่จัดขึ้นใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันพฤหัสฯ (20 ก.ค.) ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของมาเลเซียที่มียุทธศาสตร์ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ รถรุ่นที่นำมาเปิดตัวมีกำหนดส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ในปี 2567

รายงานข่าวระบุว่า รถยนต์ไฟฟ้าเทสลารุ่น Model Y ที่นำมาเปิดตัวนี้ เป็นรถอเนกประสงค์ (Sport Utility Vehicle: SUV) ขนาดกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง ตั้งราคาเริ่มต้นที่ 199,000 ริงกิต หรือราว 1,490,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในตลาดอาเซียน คือถูกกว่าราคาที่ตั้งไว้สำหรับตลาดทั้งในไทยและสิงคโปร์

เทสลา อิงค์  เปิดตัวรถยนต์รุ่น Model Y ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พร้อมราคาเริ่มต้นที่แสนเย้ายวนใจวานนี้ (20 ก.ค.)

ข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์เทสลาระบุว่า รถยนต์รุ่น Model Y ที่จำหน่ายในประเทศไทยมีราคาอยู่ที่ 1,959,000 บาท ส่วนรุ่น Model Y Long Range มีราคาอยู่ที่ 2,259,000 บาท และ Model Y Performance มีราคาอยู่ที่ 2,509,000 บาท

สำหรับรถยนต์รุ่น Model Y ที่จำหน่ายในสิงคโปร์มีราคาอยู่ที่ 87,990 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว 2,268,000 บาท

เปรียบเทียบราคารถ Tesla Model Y ในไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย

ขณะนี้ เทสลาได้ตั้งสถานีซูเปอร์ชาร์จจำนวน 8 แห่งในประเทศมาเลเซีย และพร้อมเข้าร่วมโครงการของรัฐบาลมาเลเซียในการตั้งสถานีชาร์จจำนวน 10,000 แห่งภายในปี 2568

รัฐบาลให้การส่งเสริมเต็มสูบ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ก่อนการเปิดตัวรถรุ่นดังกล่าวราว 1 สัปดาห์ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มีการประชุมทางไกลกับนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา หารือกันเกี่ยวกับการลงทุนด้านยานยนต์อีวีและบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของบริษัทสเปซเอ็กซ์ซึ่งเป็นธุรกิจของนายอีลอน มัสก์เช่นกัน

ปัจจุบัน มาเลเซียให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นระบบนิเวศให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวีด้วยการให้สิทธิประโยชน์จูงใจต่างๆแก่ผู้ซื้อ เช่น ยกเว้นภาษีให้ เป้าหมายในภาพใหญ่ทางยุทธศาสตร์คือการมุ่งหน้าสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ net zero emission ภายในปีค.ศ. 2050

ทั้งนี้ ตั้งเป้าให้มีการใช้รถยนต์อีวีรวมทั้งรถไฮบริดคิดเป็นสัดส่วน15% ของรถยนต์จดทะเบียนใหม่ทั้งหมดภายในปี 2030 หรือในอีก 7 ปีข้างหน้า

ข้อมูลอ้างอิง