Royal Enfield มอเตอร์ไซค์อังกฤษ เจ้าของอินเดีย วางตัวแทรกกลางระหว่างแบรนด์ญี่ปุ่น กับแบรนด์หรูจากยุโรปและอเมริกัน ได้อย่างภาคภูมิ ซึ่งการทำธุรกิจในไทยผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมียอดขายสะสมกว่า 7,000 คัน นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559
จากยอดขาย Royal Enfield 889 คันในปีแรก มาถึงปี 2562 ขยับไป 3,146 คัน (เพิ่มขึ้น 112% เมื่อเทียบกับปี 2561) สอดคล้องกับโปรดักต์ และเครื่องยนต์ 2 สูบใหม่ ที่ได้การตอบรับดีอย่าง อินเตอร์เซปเตอร์ แม้ปีนี้ผลประกอบการจะทรงๆ ตามสถานการณ์บ้านเมือง แต่ยอดขาย Royal Enfield ยังตกน้อยกว่าตลาด
“ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งการตลาด 5.5% ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (เครื่องยนต์ 250-750 ซีซี) อย่างงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2020 มียอดจอง 321 คัน มากกว่าการออกงานในปี 2019 ที่มียอดจอง 314 คัน โดยRoyal Enfield รุ่นที่มีการจองมากที่สุดคือ อินเตอร์เซปเตอร์ รองลงมาคือรุ่นคลาสสิก และหิมาลายัน นอกจากนี้ ยังเปิดตัว คลาสสิก 500 สเตลท์ แบล็ค สีใหม่ มาตรฐานไอเสียยูโร 4 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี” นายวิมัล ซุมบ์ลี หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก รอยัล เอนฟิลด์ กล่าวและว่า
บริษัทต้องการขยายตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง และเริ่มเห็นความสนใจของลูกค้าที่ต้องการจะอัพเกรดมาใช้มอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ซึ่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมในความสำเร็จระดับภูมิภาคอาเซียน ส่วนแผนดำเนินงานของโรงงาน ประกอบ Royal Enfield CKD ในประเทศไทย จะเริ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2564 คือระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน ปี 2564
“รอยัล เอนฟิลด์ เข้ามาในตลาดประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ปี2559 เราดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์หัวเมืองสำคัญ เพื่อเข้าถึงลูกค้าและเข้าใจวัฒนธรรมการขับขี่มอเตอร์ไซค์ในประเทศไทย สโตร์แห่งแรกของ Royal Enfield ตั้งอยู่ที่ทองหล่อ และขณะนี้มีสโตร์ทั้งหมด 26 แห่ง และภายในสิ้นปีงบประมาณ 2563 เราจะมีสโตร์ทั้งหมด 36 แห่ง”
นายวิมัล ซุมบ์ลี กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ Royal Enfield ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และนี่คือสิ่งที่มองเห็นได้ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่รวมถึงตลาดอื่นๆ ในโลกที่บริษัทดำเนินการอยู่ โดยลูกค้า Royal Enfield มีช่วงอายุที่กว้าง ตั้งแต่ 25- 50 ปี และมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง
“การขับขี่อันแท้จริงหรือ PureMotorcycling คือปรัชญาของแบรนด์ของ Royal Enfield ที่ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสกับรูปแบบการขับขี่ที่ไม่เร่งรีบเรียบง่ายและมีส่วนร่วมเป็นสังคมแห่งการขับขี่
เราให้ความสำคัญอย่างมากกับการมีส่วนร่วมที่แท้จริง เช่นการให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์เป็นศูนย์กลาง โปรแกรมการดูแลหลังการขาย กิจกรรมการขับขี่รายสัปดาห์ รวมถึงการจัดฝึกอบรมการขับขี่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจและแฟนของแบรนด์ได้ทดสอบรถมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ตัวอย่างบางส่วนที่สามารถอ้างถึงได้ เช่นงาน Himalayan Trails จัดเพื่อผู้ขับขี่รอยัลเอนฟิลด์หิมาลายันได้มาสัมผัสความยอดเยี่ยมของมอเตอร์ไซค์และTwins Weekend Rush ซึ่งเป็นงานเน้นความสนุกสนานและความเป็นหนึ่งเดียวกันของสังคมนักขี่มอเตอร์ไซค์” นายวิมัล กล่าวสรุป
ทั้งนี้ Royal Enfield คาดว่า จากวิกฤติโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ มีผลกระทบต่อตลาดมอเตอร์ไซค์ แต่มั่นใจว่ายอดขายของตนเองในปี 2563 จะทำได้ใกล้เคียงกับปี 2562
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,606 วันที่ 3 - 5 กันยายน พ.ศ. 2563