รถพร้อมคนเรียนรู้...สู้หน้าฝน

02 มิ.ย. 2562 | 09:05 น.

ในยุคที่รถยนต์ป้ายแดงซื้อง่ายขายคล่อง ด้วยโปรโมชันกระหนํ่าจากโชว์รูม หรือเอื้อให้คนที่ไม่มีเงินก้อนสามารถถอยรถได้ จนรถใหม่วิ่งกันเกลื่อนเมือง แต่สิ่งที่สวนทางกันน่าจะเป็นวินัยจราจร (ทั้งมือใหม่และมือเก๋า) พร้อมความรู้ที่ถูกต้องในการใช้รถใช้ถนน หมายรวมถึงความเข้าใจในศักยภาพรถและสภาพแวดล้อมการขับขี่

ยิ่งเข้าฤดูฝนหรือช่วง 3-4 เดือนข้างหน้านี้ เจ้าของรถมือใหม่(หรือซื้อรถเก่าก็ดี) ควรเรียนรู้การตรวจสอบความพร้อมของรถ และการขับขี่ที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยเมื่อใช้ถนนร่วมกัน

รถพร้อมคนเรียนรู้...สู้หน้าฝน

ลำดับแรก ควรหมั่นดูแลรถยนต์อย่างสมํ่าเสมอ โดยให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้เป็นพิเศษ

1.ใบปัดนํ้าฝน เพื่อปัดนํ้าฝนไม่ให้บดบังวิสัยทัศน์ซึ่งปกติมีระยะเวลาใช้งานประมาณ 1 ปี

2.นํ้าฉีดกระจก เตรียมไว้ในกรณีที่มีดินหรือโคลนกระเด็นใส่กระจกหน้า ควรเช็กปริมาณนํ้าฉีดกระจกและเติมนํ้าสะอาดในถังนํ้าฉีดกระจก ให้ถึงขีดที่กำหนด

3. ไฟหน้า-ไฟท้าย ช่วยให้มองเห็นข้างหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณ

4.สภาพยาง เพื่อให้ล้อรถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ควรเปลี่ยนยางรถทุก 4-5 ปี เนื่องจากโดยทั่วไปอายุของยางมักจะไม่เกิน 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต หรือควรเปลี่ยนยางเมื่อสภาพไม่อำนวยต่อการขับขี่อย่างปลอดภัย เช่น โครงสร้างของยางชำรุด ความลึกของดอกยางตํ่ากว่า 3 มิลลิ เมตร เป็นต้น

 

ประการต่อมาเป็นเรื่องการขับขี่ เนื่องจากฝนตกทำให้ถนนเปียกและลื่น รวมถึงการยึดจับของยางกับถนนจะลดลงเมื่อขับเร็วขึ้น ดังนั้น การขับรถเร็วเกินความเหมาะสมในขณะที่ถนนเปียกจะส่งผลให้รถเสียหลักและไถลลื่นได้ จึงควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือไม่ควรขับเกิน 80 กม./ชม.เพื่อหลีกเลี่ยงการเหินนํ้าของรถ ป้องกันการลื่นไถลและเพื่อที่ผู้ขับจะสามารถควบคุมรถได้

หากฝนตกในช่วง 10 นาทีแรก ควรเริ่มลดความเร็ว และถ้าฝนตกหนักเกินกว่าที่ผู้ขับขี่จะสามารถมองเห็นถนนและข้างทางและไม่สามารถขับรถต่อได้ควรหาจุดจอดรถที่ปลอดภัยและโทร.แจ้งสถาน การณ์ต่อคนใกล้ชิดหรือคนรู้จัก

รถพร้อมคนเรียนรู้...สู้หน้าฝน

ขณะที่การเบรกกะทันหันบนถนนเปียกอาจส่งผลให้เบรกไม่อยู่ เสียการควบคุมรถ จนเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้นผู้ขับขี่จึงควรทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้ามากกว่าปกติ หรือราว 2 เท่าของระยะทิ้งห่างเมื่อขับรถในสภาพอากาศปกติ เพื่อให้สามารถหยุดรถได้อย่างทันท่วงที

เมื่อพบว่าถนนที่ขับไปมีนํ้าท่วมขังหรือแอ่งนํ้า ให้สังเกตระดับความลึกของนํ้าจากฟุตบาทและสภาพแวดล้อมข้างทาง หรือจากรถคันข้างหน้า เพื่อประเมินความลึกและสถานการณ์ ซึ่งถ้าระดับนํ้าไม่สูงมาก ก็สามารถขับผ่านไปได้ โดยเบื้องต้นควรปิดแอร์ และใช้เกียร์ตํ่า 

 

ที่มา : ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี

 

หน้า 28-29 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 39 ฉบับที่ 3,475 วันที่ 2 - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562