IAA คาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 1646 จุด แนะ 4 หุ้นเด่น รับเปิดเมือง-ดบ.ขาขึ้น

04 ก.ค. 2565 | 10:17 น.

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยผลสำรวจ IAA Survey ไตรมาส3/65 คาดเศรษฐกิจไทยปี 65 โตเฉลี่ย 3.18 % เปิดเมือง หนุนหุ้นฟื้นคาดดัชนีสิ้นปีนี้ 1,646 จุด จุด ต่ำสุดที่ 1,486 จุด แนะ 4 หุ้นเด่น รับดอกเบี้ยขาขึ้น-เปิดเมือง BBL, BEM, CPN และ KBANK

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ : IAA Survey ไตรมาส 3 ปี 2565 ต่อมุมมองด้านการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจ 24 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 20 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 1 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

 

สมมติฐานหลัก มีการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 94.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 102.36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ GDP ปี 65 ยังคงฟื้นตัว โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.18% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อน (เม.ย.65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.09%

 

สำหรับปัจจัย ที่จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนตลอดครึ่งปีหลังนี้ ปัจจัยบวก ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 75% รองมาคือ สถานการณ์โควิดไทยที่เบาลงจนมีการเปิดเมือง มีผู้ตอบแบบสำรวจ 62 % และอันดับที่ 3 คือสถานการณ์โควิดโลก มีผู้ตอบ 58 % ตามลำดับ

 

ส่วนปัจจัยลบ มีความชัดเจนมากถึง 5 ปัจจัย เห็นได้จากการโหวตอย่างท่วมท้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความกังวลเศรษฐกิจถดถอย และ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของเฟด

โดยมีผู้ตอบทั้ง 2 ปัจจัยนี้ ที่ระดับ 92% เท่ากัน ส่วนอันดับ 3 คือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบมากถึง 83% ส่วนอันดับ 4 คือ ปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 79% และอันดับที่ 5 คือ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศไทยที่มีผู้โหวตว่าเป็นปัจจัยลบมาถึง 75%

 

สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.นั้น เสียงโหวต96% คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในครึ่งหลังของปี 2565 อย่างแน่นอน แต่ระดับการคาดแตกต่างกันไป เรียงลำดับขนาดการปรับขึ้นดังนี้

 

• มี 25%ที่คาดว่าจะขึ้น 0.25% ในครึ่งปีหลัง

• มี 37% ที่คาดว่าจะขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง

• มี 17% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.75% ในครึ่งปีหลัง

• มี17% ที่คาดว่าจะ ปรับขึ้น 1.00% หรือมากกว่า ในครึ่งปีหลัง

 

อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ 4% ที่มองสวนว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% ในครึ่งปีหลัง

 

ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาด ถือเป็นข่าวดี ที่มีค่าเฉลี่ยที่ 94.47 บาทเพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.11 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้ คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2565 อยู่ที่ 8.20 %

 

ทางด้านคาดการณ์ ทิศทางหุ้นไทย ในระยะสั้นช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มทางลบ รองลงมาคาดว่าเป็น Sideways แต่ก็มีผู้ตอบประมาณ 4% ที่มองว่าเป็นทิศทางบวก โดยมีค่าเฉลี่ย คาดการณ์ดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 1,569 จุด

 

สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วงก.ค. - ธ.ค. 65 เฉลี่ยที่ระดับ 1,662 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,486 จุด และเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,646 จุด ซึ่งลดลง 101 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ที่ 1,747 จุด

ทั้งนี้นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

 

  • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น        18.63%
  • กองทุนตราสารหนี้                     14.06%
  • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย        27.39%
  • หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ  22.92%
  • กองทุนอสังหาฯหรือ REIT           7.31%
  • ทองคำหรือกองทุนทองคำ          8.63%
  • อื่นๆ เช่น น้ำมัน                           1.06%

 

สำหรับ ในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีกธนาคาร การท่องเที่ยว สื่อสาร และการแพทย์

 

ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี  พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

 

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ ตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้  (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)   

 

BBL ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จากการมีสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากมี 40% ที่ดอกเบี้ยลอยตัว       งบดุลแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นถูก มี PER 7 เท่า และ PBV 0.5 เท่า รวมทั้งมี Dividend Yield ที่สูง 4% ต่อปี 

 

BEM  แนวโน้มรถใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเปิดเทอม เปิดเมืองและยังได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใน ก.ย.นี้

 

CPN  มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง และการให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลง

 

KBANK คาดว่าธนาคารจะมีอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นและคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้น  และมีมุมมองเชิงบวกเรื่องการร่วมทุนกับ JMT อีกด้วย

 

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาล เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชน ทั้งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดค่าครองชีพและการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค 

 

ตามมาด้วย  การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ การกระตุ้นการลงทุน การช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงาน SME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น  และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน