BDMS เนื้อหอมต่างชาติไล่ซื้อ 5 วันกว่า 1,578 ล้านบาท ขายหุ้นเทค JTS-KCE

21 มี.ค. 2565 | 03:17 น.

เปิดโผ"หุ้นไทย"ต่างชาติไล่ซื้อ-ขายสะสม 5 วันสูงสุด ( 14-18 มี.ค. 65 ) BDMS เนื้อหอม ซื้อสุทธิกว่า 1,578 ล้านบาท รับอานิสงค์โควิด-การเปิดประเทศ ขณะที่ขาย"หุ้นเทค"สูงสุด นำโดย JTS กว่า 1,432 ล้านบาท และ KCE 1,041 ล้านบาท

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า การซื้อขายสะสมหุ้นไทย ในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 14-18 มีนาคม 2565 ในบัญชี“เอ็นวีดีอาร์” (NVDR)  พบว่า

 

5 อันดับหุ้นไทยที่มีมูลค่าการซื้อสุทธิมากที่สุด  ได้แก่

 

  • บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ( BDMS ) มูลค่าซื้อสุทธิ 1,578.87   ล้านบาท
  • บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มูลค่าซื้อสุทธิ 1,331.80 ล้านบาท
  • บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ ( HMPRO ) มูลค่าซื้อสุทธิ 1,014.74   ล้านบาท
  • บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC ) มูลค่าซื้อสุทธิ 800.09 ล้านบาท
  • บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) มูลค่าซื้อสุทธิ 777.08  ล้านบาท

 

5 อันดับหุ้นไทยที่มีมูลค่าขายหุ้นสุทธิมากสุด ได้แก่

 

  • บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS ) มูลค่าขายสุทธิ 1,432.07  ล้านบาท
  • บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ ( KCE ) มูลค่าขายสุทธิ 1,041.01 ล้านบาท
  • บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) มูลค่าขายสุทธิ 1,036.32 ล้านบาท
  • บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ( KBANK) มูลค่าขายสุทธิ 851.02  ล้านบาท
  • บมจ.บ้านปู (BANPU )มูลค่าขายสุทธิ 721.50  ล้านบาท

ทั้งนี้การเข้าซื้อหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ( 14-18 มีนาคม 2565 ) มีสถานะซื้อสุทธิ 11,147.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า( 7 -11 มีนาคม 2565) ที่ซื้อสุทธิเพียง 675.96 ล้านบาท  

 

  • ขณะที่มูลค่าซื้อขายสะสมตั้งแต่วันที่  1 - 18 มีนาคม 2565  มีสถานะซื้อสุทธิ 17,945.58  ล้านบาท 
  • มูลค่าซื้อขายสะสมตั้งแต่ต้นปี 65 (1 มกราคม -18 มีนาคม 2565 ) มีสถานะซื้อสุทธิ 95,280.13  ล้านบาท  

 

การเคลื่อนไหวของดัชนี SET สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 65 ปิดที่ระดับ 1,678.51 จุด เพิ่มขึ้น 1.24% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมอยู่ที่ 421,788.40 ล้านบาท เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 84,357.68 ล้านบาท ลดลง 26.19% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.46% มาปิดที่ 621.38 จุด

 

3 ปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
 

นายสุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซียพลัส มองว่า 3 ปัจจัยหลักที่หนุนหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลได้แก่ 

 

  • 1.อานิสงส์จากโควิด แม้ว่าการระบาดระลอกใหม่จะไม่ได้รุนแรงนัก แต่ปริมาณที่เพิ่มขึ้นนำมาสู่รายได้ของโรงพยาบาล โดยเฉพาะการตรวจ PCR หลังจากที่ตรวจพบ และด้วยลักษณะบ้านของสังคมไทยที่อาจจะไม่ได้เอื้อต่อการกักตัว ทำให้โรงพยาบาลมีรายได้เพิ่มเติมในส่วนนี้ 

 

  • 2.โอกาสของการเปิดประเทศ เมื่อการระบาดของโควิดไม่ได้รุนแรงและมีแนวโน้มจะถูกลดทอนเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวและจะนำไปสู่การเปิดประเทศ ส่วนนี้ทำให้ผู้ป่วยต่างชาติจะเริ่มกลับมาได้ ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นอย่าง BDMS และ BH ที่มีฐานผู้ป่วยต่างชาติสูง

 

  • 3.เม็ดเงินลงทุนไหลเข้า ด้วยความไม่แน่นอนของภาวะตลาด ทั้งจากเรื่องของสงคราม และต้นทุนที่สูงขึ้น ในส่วนนี้กระทบต่อการลงทุนและต้นทุนของธุรกิจต่างๆ ในขณะที่ธุรกิจโรงพยาบาลยังเป็นสิ่งจำเป็น และสามารถผลักภาระต้นทุนมาที่ผู้บริโภคได้ง่ายกว่า ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลมายังหุ้นกลุ่มนี้