"GULF ผนึก Binance" สะท้อนสงครามตลาดคริปโตไทย

18 ม.ค. 2565 | 02:18 น.

กัลฟ์ ผนึก Binance เขย่าตลาดคริปโตไทย บลูมเบิร์ก ระบุจุดเริ่มความร่วมมือ มองโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทยมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วใน 2-3 ปีนี้ ด้านซีอีโอบิทคับ จับตาผลกระทบ มองไทยเพิ่งเริ่มก้าวสู่ยุคไฟแนนซ์ 3.0 ชี้แนวทางกำกับดูแลต้องชัดเจน เสนอเลื่อนเก็บภาษีไปอีก 2 ปี

จากกรณีที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งตลาดหลักทรัพย์ ( 17 ม.ค.) ว่า บริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกลุุ่ม Binance (ไบแนนซ์ ) เพื่อร่วมกันศึกษาและจัดทำแผนพัฒนาธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในประเทศไทย

 

ด้านบลูมเบิร์กรายงาน (17ม.ค.) ระบุว่า บริษัทไบแนนซ์ โฮลดิ้ง  บรรลุข้อตกลงกับบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ของ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี มหาเศรษฐีชาวไทยแล้ว ซึ่งทั้งสองบริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ในการศึกษาตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

 

รายงานอ้างหนังสือชี้แจงกับตลาดหลักทรัพย์ ฯของกัลฟ์ ระบุว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจกับไบแนนซ์ ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตฯที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่มูลค่าการซื้อขายนั้น  มีแรงผลักดันมาจากโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศไทยที่มีโอกาสเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

นอกจากความร่วมมือกับกัลฟ์ ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ไบแนนซ์ ได้รับการอนุมัติเบื้องต้นจากธนาคารกลางบาห์เรน ในการให้บริการด้านสินทรัพย์ คริปโตฯในประเทศ รวมถึงร่วมลงนามในข้อตกลงกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการค้าของนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย

 

รายงานระบุอีกว่า นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ผู้บริหารกัลฟ์ เริ่มให้ความสนใจในภาคส่วนเทคโนโลยีทางการเงินมากขึ้น ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส หรือ เอไอเอส ผู้ให้บริการสื่อสารใหญ่ที่สุดของไทย ซึ่ง กัลฟ์ ถือหุ้นอยู่ด้วย เพิ่งร่วมทุนกับ ธนาคารไทยพาณิชย์  ในการให้บริการด้านสินเชื่อดิจิทัลด้วยภายใต้บริษัทใหม่อย่าง “เอไอเอสซีบี”

 

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub) กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่าขณะนี้ ทางกัลฟ์ และ Binance อยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันเท่านั้น ซึ่งก็ต้องรอดูแผนการร่วมทุนในอนาคตหลังจัดตั้งแล้วเสร็จว่ามีความชัดเจนอย่างไร ในการจัดตั้งศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแบบครบวงจร  เมื่อถึงตอนนั้น เราจึงจะสามารถประเมินถึงผลกระทบ ผลได้- ผลเสี่ย ที่จะเกิดขึ้น
 

นายจิรายุส มองว่า ทิศทางแนวโน้มการเติบโตของตลาดคริปโต ฯ ในไทยปีนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ทั้งจากตลาด NFT , Defi , Gamefi ที่จะเห็นตลาดขยายตัวมากขึ้นจากธุรกิจเรียลเซ็กเตอร์ที่เข้ามาเชื่อมโยงในธุรกิจใหม่นี้ นอกจากนี้ปี 2565 ถือว่าเป็นจุดเริ่มทุนของเว็บ 3.0 เป็นการมาถึงของ บล็อกเชน, internet of thing, AI, VR และMetaverse เป็นต้น เข้ามาปฏิวัติทำให้เศรษฐกิจโลกพัฒนาสู่ Digital economy ซึ่งผู้คนไม่จำเป็นต้องจับต้องสินทรัพย์เหล่านั้น
 

“ 2-3 ปีที่ผ่านมาโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว และโควิดเป็นตัวเร่งหลายวงการ เศรษฐกิจที่ดังเดิมยุคเก่าได้รับผลกระทบเยอะ แต่มีเศรษฐกิจยุคใหม่ หรือ new economy ที่เติบโตมหาศาล"

 

อย่างไรก็ดีสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคต้องการเติบโต คือการกำกับดูแล ซึ่งต้องพิจารณาให้รอบด้านสอดรับกับสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น อย่างเช่น การเก็บภาษีคริปโตฯ โดยปัจจุบันกฎหมายที่บังคับใช้อยู่นั้น ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งทางบิทคับและสมาคมฟินเทคได้ร่วมกันเสนอให้มีการเลื่อนการจัดเก็บภาษีคริปโต ฯ ออกไปอีกอย่างน้อย 2 ปี เพื่อปรับปรุงข้อกฏหมายต่างๆ ให้มีความทันสมัย และมีความชัดเจน สอดรับกับเทคโนโลยีในปัจจุบันมาขึ้น