แตะเบรกหรือไปต่อ กองหุ้นเวียดนามฟันกำไรกว่า40%

10 ม.ค. 2565 | 11:47 น.

การลงทุนกับการสร้างผลตอบแทนเวียดนามยังมีโอกาสไปต่อในปีนี้และในอีก 3-5 ปีข้างหน้าก็ถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ ไม่น้อยกว่าตลาดหลักๆอย่าง สหรัฐ จีน และอินเดียเลยทีเดียว

  • กองทุนหุ้นเวียดนามมีผลตอบแทนสูงสุดย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 44.86% และ 3 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 21.80% ต่อปี 
  • คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนามจะเติบโตที่ระดับ 6-7%ในปีนี้ จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนตรงจากต่างประเทศ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
  • ในปี2022กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 15% - 20% (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 6/1/2022)

 

  • รัฐบาลเวียดนามมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า15,250 ล้านดอลลาร์ ที่จะนำมาใช้ในปี 2565-2566 รวมถึงมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารประมาณ 1% และชะลอการชำระคืนเงินกู้สำหรับธุรกิจเพื่อให้การเติบโตของจีดีพีเป็นไปตามเป้า(รอยเตอร์)
  • เวียดนามมีประชากรวัยทำงาน (อายุ 15 – 59 ปี) กว่า 63 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 65 ของประชากรทั้งหมด  ส่งผลให้มีความพร้อมที่จะรองรับการขยายการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้แรงงานเข้มข้น
     

เวียดนามในแง่ผลตอบแทนจากการลงทุนในปีที่ผ่านมาถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจนอกเหนือจากตลาดยอดฮิตทั้งสหรัฐฯ จีน และอินเดีย โดยผลตอบแทนของกองทุนเวียดนาม 5 อันดับแรกพบว่ามีผลตอบแทนสูงถึง 30-40%ในปีที่ผ่านมา

แตะเบรกหรือไปต่อ กองหุ้นเวียดนามฟันกำไรกว่า40%

 

สำหรับกองทุนหุ้นเวียดนามที่มีผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับคือ

  1. กองทุนเปิด แอสเซทพลัส เวียดนาม โกรท ฟันด์(ASP-VIET) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่  44.86% ต่อปี และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 21.80% ต่อปี
  2. กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า(PRINCIPAL VNEQ-A) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่  44.68% ต่อปี และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 20.34% ต่อปี
  3. กองทุนเปิด วรรณ เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-VIETNAM-RA  ) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่  38.70% ต่อปี และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 17.82% ต่อปี
  4. กองทุนเปิดเค เวียดนาม หุ้นทุน (K-VIETNAM) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่  37.61% ต่อปี และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 17.48% ต่อปี
  5. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด เวียดนาม ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์(UVO) ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่  36.67% ต่อปี และย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 16.15% ต่อปี

 

ผลตอบแทนระดับนี้เชิญแขก ใส่ซอง กินโต๊ะ ได้เลยหรือป่าวอย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ เพราะจะตกลงปลงใจลงทุนกับอะไรอย่าลืมว่าผลตอบแทนในอดีตมิได้ชี้วัดผลงานในอนาคตเสมอไป 

 

ฉนั้น คำถามต่อจากนี้คือ แนวโน้มในปีนี้จะเป็นอย่างไร เวียดนามยังมีเสน่ห์ และน่าสนใจเหมือนในปีที่ผ่านมาหรือไม่?

 

ยุทธพล ชุลีคร ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) บอกถึงเรื่องนี้ว่า แม้ว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงในปีที่แล้วแต่อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาในเชิงมูลค่าพื้นฐาน (Valuation)จาก Earnings Yield Gap พบว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังเทรดอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวสะท้อนว่าราคายังอยู่ในระดับที่เหมาะสม**

 

การเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดที่สำคัญในปีนี้ซึ่งตลาดหุ้นเวียดนามยังมีแนวโน้มที่จะปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earning Revision) เพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์มองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 15% - 20% ในปี 2022 (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 6/1/2022)และยังมี Upside จากการถูกปรับคาดการณ์กำไรได้อีกตามภาพการเปิดเศรษฐกิจและเปิดประเทศในช่วงไตรมาส 2/2022

 

อย่างไรก็ตาม**ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วขึ้นจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาก็อาจจะส่งผลกระทบต่อระดับ P/E Ratioของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงเวียดนามที่อาจจะถูกปรับลดลง (P/E De-Rating) เพื่อสะท้อนภาพสภาพคล่องที่ลดลง  โดยกลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำคือให้อาศัย ช่วงตลาดมีความผันผวนสูงเพื่อทยอยสะสมการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามควบคู่ไปกับการใช้ Stock Selection ผ่านกองทุนที่สามารถเข้าถึงข้อมูลการลงทุนโดยตรงจากท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่โดดเด่นได้**

 

โดยรวมแล้วการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะเป็นจุดเด่นที่ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามมีความน่าสนใจต่อจากปีที่แล้ว นัยว่ายังมีโอกาสไปต่อได้อีกแม้จะต้องเผิชญกับความผันผวนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม

 

ไม่ใช่แค่ปีนี้เท่านั้นแต่ถ้ามองในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าเวียดนามยังถือเป็นตลาดที่น่าสนใจอยู่ไหม
ยุทธพล บอกถึงมุมมองต่อการลงทุนในเวียดนามอีกว่า เรามองว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะมีปัจจัยสนับสนุนระยะยาว 3-5 ปี ข้างหน้าอยู่หลายด้าน แต่ดถ้ามองปัจจัยพื้นฐานเลยน่าจะมีอยู่ 3 ด้านหลักๆด้วยกันประกอบด้วย

  1. การเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนาม โดยคาดว่าเวียดนามยังคงเติบโตในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่องในระดับ 6%-7%และน่าจะเป็นอันดับต้นของอาเซียนที่มีการเติบโตอยู่ในระดับนี้
  2. การลงทุนตรงจากต่างประเทศ ด้วยโครงสร้างประชากรที่ได้เปรียบมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน มากกว่า 60% อยู่ในวัยทำงานและมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำทำให้ประเทศเวียดนามจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเพื่อใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกทึ่สำคัญแห่งใหม่ในเอเชีย ทั้งฐานการผลิตอุตสาหกรรมแบบดั่งเดิมอย่าง เสื้อผ้า บรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้ารวมถึงตัวอย่างที่น่าสนใจมากๆ คือ การผลิตอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ขั้นสูง ซึ่งบริษัทอย่าง Foxconn ผู้รับผลิตช่วงซึ่งอยู่ใน Supply Chain การผลิต iPhone iPad ก็มีการลงทุนในประเทศเวียดนามเนื่องจากมีต้นทุนแรงงานที่ต่ำและมีข้อได้เปรียบในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ (Raw Material) ในประเทศจีน
  3. การบริโภคภายในประเทศ เรามองว่าเวียดนามนามอยู่ในช่วงเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญจากภาคเกษตรกรรมมาเป็นภาพอุตสาหกรรมซึ่งจะทำให้ประชาชนเวียดนามมีรายได้ที่สูงขึ้นนำไปสู่รูปแบบในการบริโภคในอนาคตที่จะเน้นไปที่สินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้นเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งสิ่งนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาคการบริโภคในประเทศที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมหาศาล

 

นอกจากนี้ ณ ปัจจุบัน ประเทศเวียดนามยังเป็นสังคมเงินสด หนี้ภาคครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับต่ำ(Household Debt to GDP ของเวียดนามในปี 2020 อยู่ที่ 46% เทียบกับประเทศไทยที่อยู่ที่ประมาณ 90% ) หรือในอีกแง่หนึ่งคือโอกาสสำหรับภาคธนาคารที่จะนำเสนอบริการและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่ายในอนาคตได้ด้วยเช่นกัน

 

ทั้งหมดเป็นความเห็นและข้อมูลความน่าสนใจของตลาดเวียดนาม ซึ่งสรุปแล้วด้านการลงทุนกับการสร้างผลตอบแทนเวียดนามยังมีโอกาสไปต่อในปีนี้และในอีก 3-5 ปีข้างหน้าก็ถือเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ ไม่น้อยกว่าตลาดหลักๆอย่าง สหรัฐ จีน และอินเดียเลยทีเดียว