“สารัชถ์” ชี้หุ้น “อินทัช” เติมรายได้ “กัลฟ์” 5-6 พันล้าน/ปี

21 ต.ค. 2564 | 10:00 น.

“สารัชถ์” แจงถือหุ้น “อินทัช” หวังเพิ่มรายได้กัลฟ์ 5-6 พันล้าน/ปี พร้อมต่อยอดธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่เร็วๆ นี้ เตรียมลงนามสัญญาพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวในงานสัมมนา “หุ้นปลอดภัยฝ่าภัยโควิด” ที่จัดโดย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ว่า การเข้าถือหุ้น "อินทัช" เพราะมองว่าเป็นหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคตและยังสามารถต่อยอดธุรกิจของกัลฟ์ได้ ทั้งนี้จากการที่บริษัทลูกของอินทัช โดยเฉพาะ AIS ซึ่งมีกำไรประมาณ 3 หมื่นล้านบาท/ปี ซึ่งจะทำให้อินทัชมีกำไรประมาณ 12,000 ล้านบาท/ปี และทำให้กัลฟ์ซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 40%ของอินทัช มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งการเข้าไปลงทุนในโครงการใหม่ๆ เป็นไปตามนโยบายหลักของกัลฟ์ในการสร้างความเติบโตและเพิ่มรายได้เป็นหลักและไม่ให้ลดลงในระยะ 20-30 ปี และเพื่อเป็นสร้างความมั่นใจว่ากัลฟ์จะมีการให้ Dividend แก่ผู้ถือหุ้นต่อเนื่องทุกปี

 

นอกจากนี้ “อินทัช” ถือเป็นธุรกิจที่ไม่มีหนี้สินมาก และบริษัทในกลุ่มยังมีสภาพคล่องและมีผลประกอบการค่อนข้างดี โดยเฉพาะ AIS ขณะเดียวกันการที่โลกมุ่งสู่ดิจิทัล กัลฟ์ยังมองว่าจะเกิดความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทในกลุ่มอินทัชมากขึ้น เช่น ธุรกิด้านดาต้าเซ็นเตอร์ รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือและศึกษาถึงโอกาสและความเป็นไปได้  ส่วน “ไทยคม” มองว่าเป็นอีกหนึ่งบริษัทของ “อินทัช” ซึ่งขณะนี้ผลประกอบการบางปีขาดทุน และเป็นธุรกิจอินเตอร์เน็ตที่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกัลฟ์มากนัก

สัมมนา “หุ้นปลอดภัยฝ่าภัยโควิด” จัดโดย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

นายสารัชถ์ กล่าวอีกว่า กัลฟ์ยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจขนาดใหญ่ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายของภาครัฐ ซึ่งเร็วๆนี้เตรียมลงนามสัญญาการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบับเฟส 3 ซึ่งจะเป็นท่าเรือน้ำลึกที่เรือขนาดใหญ่สามารถเข้ามาได้ ทำให้สามารถส่งสินค้าตรงไปอเมริกาและยุโรปได้โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนเรือที่สิงคโปร์ และในช่วง 2-3 ปี คาดโครงการลงทุนทำท่าเรือ LNG ที่มาบตาพุด ซึ่งจะเป็น LNG เทอมินัล แห่งที่ 3 ของไทยจะแล้วเสร็จ

 

ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้า มองว่าอนาคตอาจมีแพลตฟอร์มการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ทั่วไป ทั้งบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะสามารถเลือกเองว่าจะซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายใด หรือ ไฟฟ้าที่ผลิตจากแหล่งใด ทั้งพลังงานลม แสงอาทิตย์ หรือ ก๊าซธรรมชาติที่มีเสถียรภาพมากกว่า แม้ยังเป็นเรื่องระยะยาว แต่ขณะนี้ก็พบว่าในต่างประเทศเริ่มมีการทดลองทำแล้ว

 

“การเข้าไปลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ จะทำให้จากวันนี้ไปจนถึง 4-5 ปี กัลฟ์ยังมีรายพอ และยังไม่ต้องหาซื้อบริษัทอื่นเพิ่ม ยกเว้น ณ ขณะนั้นมีบริษัทหรือธุรกิจอะไรที่น่าสนใจจริงๆ ส่วนการร่วมทุน เป็นอีกการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้ทันที ปัจจุบันมีบริษัทอื่นเข้ามาเสนอให้ร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกัลฟ์ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะต้องเป็นธุรกิจประเภทใด ดังนั้น การจะร่วมทุนกับบริษัทใดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมทั้งด้านราคาและสถานการณ์ขณะนั้น” นายสารัชถ์ กล่าว

สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์

ขณะที่เดียวกันยังได้แนะนำนักลงทุน ว่า ปัจจุบันมีหุ้นให้เลือกจำนวนมาก จึงแนะการลงทุนต้องมองระยะสั้น กลาง และยาว หากมองที่หุ้นเติบโตต่อเนื่อง กัลฟ์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ทั้งนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่น่าสนใจ ดังนั้น จึงต้องดูว่าหลังโควิดเมื่อมีการเปิดประเทศมากขึ้น เงินทุนจากต่างประเทศที่จะไหลเข้ามามากขึ้น จะเข้ามาที่หุ้นกลุ่มไหน พร้อมย้ำ กัลฟ์ยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจเพื่อรักษาการเติบโตต่อเนื่องและมีการดูเรื่องการกระจายความเสี่ยงเป็นหลัก