“นครพนม” นับเป็นอีกหนึ่งจังหวัดชายแดนอีสานเหนือที่ต้องตั้งใจเดินทางไปเยี่ยมชมสักครั้ง เพราะนครพนม ถือเป็นเมือง “ครบรส” ทั้งการเป็นเมืองน่าอยู่ เงียบสงบ อากาศสะอาด มีความศักดิ์สิทธิ์ มีเทศกาลระดับนานาชาติ รวมถึงอาหารการกินยังผสมผสานวัฒนธรรมของหลายชาติเข้าด้วยกันอย่างยูนีค เรียกได้ว่าถ้าใครเดินทางมาเที่ยวนครพนมแล้ว เป็นต้องกลับมาซ้ำอีกหลายรอบ ด้วยเพราะเสน่ห์มากมายที่ยากจะลืมเลือน
ไม่นานมานี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อสำรวจการท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ยกคณะรัฐมนตรี มาประชุม “ครม.สัญจร” และลงพื้นที่ภาคอีสานตอนบน 3 จังหวัด นั่นคือ สกลนคร มุกดาหาร และนครพนม
พร้อมทั้งสัมภาษณ์พิเศษภาคเอกชนท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนม เพื่อถ่ายทอดสถานการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่ และแนวโน้มการเติบโตต่อไปในอนาคต
นายชาญยุทธ อุปพงษ์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จังหวัดนครพนม และประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ให้สัมภาษณ์กับคณะสื่อมวลชนว่า ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดี เพราะจังหวัดนครพนมได้ต้อนรับ “ครม.สัญจร” ที่ยกคณะมาจัดประชุมที่นี่อย่างน้อย 3 ครั้งแล้ว
ครั้งแรก เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร การจัดประชุมครั้งนี้ ได้อนุมัติโครงการสะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 3 นับเป็นโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์แรกของจังหวัดนครพนม มูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท ณ ขณะนั้น เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย บริเวณจังหวัดนครพนม กับ เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ของสปป.ลาว โดยได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา
ครั้งที่สอง เป็นการยกคณะมาประชุมครม.สัญจร สมัยรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การเดินทางมาลงพื้นที่ในครั้งนั้น ได้มีการอนุมัติโครงการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาพื้นที่จังหวัดนครพนมหลายโครงการ โดยเฉพาะการก่อสร้างแนวป้องกันตลิ่งตลอดริมฝั่งแม่น้ำโขง และโครงการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ของจังหวัด
ครั้งล่าสุด คือการเดินทางมาประชุมครม.สัญจร รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้แม้จะได้รับการอนุมัติงบประมาณเพียงแค่ 150 ล้านบาท แต่ก็เป็นการเสริมสร้างการพัฒนาพื้นที่ได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติ 4 โครงการสำคัญของจังหวัดนครพนม นั่นคือ
1.โครงการพัฒนาพื้นที่และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณริมแม่น้ำโขงเหนือเมืองนครพนม และพื้นที่ต่อเนื่อง อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม ระยะที่ 1 วงเงิน 50 ล้านบาท
2.โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอุทยานธรณีวิทยาและไดโนเสาร์ “Geo Park Center at Tha Uthen” วงเงิน 50 ล้านบาท
3.โครงการสร้างอัตลักษณ์เมือง (DNA) และ Marketing ภายใต้ 5 Must (Visit, Eat, Shop, Mu, Rest) วงเงิน 20 ล้านบาท
4.โครงการยกระดับเทศกาลเรือไฟไทยสู่เรือไฟโลกวงเงิน 30 ล้านบาท
นายชาญยุทธ ยอมรับว่า โครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นข้อเสนอของทางภาคเอกชนในพื้นที่ที่ได้ประชุมร่วมกับภาครัฐมาก่อนหน้านี้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนานครพนมสู่เมืองท่องเที่ยวชั้นนำได้ โดยเฉพาะโครงการยกระดับเทศกาลเรือไฟไทยสู่เรือไฟโลก นับเป็นหนึ่งในงานเทศกาลสำคัญของจังหวัด ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เดินทางเข้ามาชมมหาศาล และน่าจะได้รับการยกขึ้นไปอยู่ในปฏิทินเทศกาลสำคัญของโลกได้ในอนาคต
“เทศกาลเรือไฟไทยของจังหวัดนครพนม จะมีความพิเศษเพราะเรือแต่ละลำจะประดับด้วยไฟที่สวยงาม เต็มไปด้วยศิลปะจากศิลปินชั้นครู บางลำมูลค่านับล้านบาท และเทศกาลนี้ก็มีแห่งเดียวในโลก ซึ่งเอกชนอยากให้ยกระดับขึ้นเป็น World Events ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาเยี่ยมชมความงดงาม โดยจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ และถ่ายทอดเรื่องราวความสำคัญของเทศกาลอย่างต่อเนื่อง” นายชาญยุทธ ระบุ
นอกจากเทศกาลเรือไฟแล้ว จังหวัดนครพนมยังมีงานประเพณีที่สำคัญ และต่อยอดเป็นการท่องเที่ยวสายศรัทธาที่มีมาอย่างยาวนาน นั่นคือ งานนมัสการองค์พระธาตุพนม พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงสองฝั่งโขง
รวมไปถึงงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ถือเป็นพิธีใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยนอกจากการประกอบพิธีบวงสรวงแล้ว ยังมีขบวนแห่เครื่องบูชาพญาศรีสัตตนาคราช การฟ้อนรำ และการแสดงศิลปวัฒนธรรมอีกมากมาย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในปี 2567 ที่ผ่านมา จังหวัดนครพนมมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมทั้งสิ้น 2,221,803 คน-ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 2,041,424 คน-ครั้ง และผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติ 180,379 คน-ครั้ง
ขณะที่มีจำนวนรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 4,093.39 ล้านบาท โดยมาจากผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 3,702.42 ล้านบาท ผู้เยี่ยมเยือนชาวต่างชาติ 390.97 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ 1,842.37 บาทต่อคน และมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยร้อยละ 73.05
ส่วนในปี 2568 ประเมินว่า จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 แสนคน ทำให้ภาพรวมของปีนี้มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมทั้งสิ้นแตะ 2.5 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้เฉลี่ย 4,000 – 5,000 ล้านบาท ล่าสุดในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2568 พบว่า มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนรวมทั้งสิ้น 611,971 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 4.66% และมีจำนวนรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 994 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.49%
นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม กล่าวอีกว่า นอกจากการท่องเที่ยวในรูปแบบดั้งเดิม คือ การเน้นการท่องเที่ยวด้านประเพณี วัฒนธรรม แบบสายศรัทธาแล้ว ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม 2568 นี้ นครพนมจะมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่เป็นลักษณะ Man-Made Destination นั่นคือ ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขง ที่มีความสูงถึง 54 เมตร จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น
สำหรับการมีชิงช้าขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขง จะกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญของจังหวัด เพราะผู้ที่ขึ้นไปใช้บริการจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองนครพนม และสปป.ลาว ในมุมที่ไม่เคยมีมาก่อน เสริมด้วยการล่องเรือชมความสวยงามของวัดวาอาราม และวิถีชีวิตริมแม่น้ำโขง ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เดินทางเยี่ยมเยือนนครพนมได้อีกด้วย
นายชาญยุทธ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางมาง่ายขึ้น ก็คงต้องฝากความหวังไปยังรัฐบาลช่วยผลักดันโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ออกมาโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” หรือโครงการอื่น ๆ ที่มีลักษณะกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะมีส่วนสำคัญกับการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่ประเทศไทยต้องการ “การท่องเที่ยว” มาเป็นเครื่องยนต์คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก