"มหาสงกรานต์แก่งสะพือ" คาดเงินสะพัดกว่า 500 ล้าน

ที่มาของ"แก่งสะพือ" มาจากคำว่า "ซำพือ" (ภาษาส่วย หรือ กูย) แปลว่า งูใหญ่ ตามลักษณะของ เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติตามสภาพภูมิศาสตร์ซึ่งมีชื่อเสียงมานานคู่กับจังหวัดอุบลราชธานี  

โดยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2498  พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตร "แก่งสะพือ" ประทับพลับพลาริมแก่งสะพือ เสวยพระกระยาหารกลางวัน

และทรงลงพระปรมาภิไธย-พระนามาภิไธยในแผ่นศิลา เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชาวอำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และได้สร้างและประดิษฐานเป็นสถานที่สำคัญให้ประชาชนมีความรัก ความสามัคคี และจัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ  เป็นประจำทุกปี  จนถึงปัจจุบัน
 

โดยขณะนี้ ทางองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศขึ้นทะเบียน "สงกรานต์ในประเทศไทย" (Songkran in Thailand, Traditional Thai New
Year festival) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage - ICH) ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ที่เมือง คาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

ทั้งนี้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมการด้านการท่องเที่ยว กำหนดให้ งานประเพณีสงกรานต์ เที่ยวได้ทั้งเดือน  จังหวัดอุบลราชธานี จึงขานรับนโยบายรัฐ สั่งทุกหน่วยงานดัน "อัศจรรย์มหาสงกรานต์แก่งสะพือ World Songkran Festival" เป็น SOFT POWER ด้านวัฒนธรรม  ให้ นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำ สืบสานประเพณีสงกรานต์  ตลอดทั้งเดือนเมษายน 

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวกับทีมข่าวว่า  การงาน "อัศจรรย์มหาสงกรานต์แก่งสะพือ World Songkran Festival" จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-30 เมษายน 2567 โดยผลักดันให้งานมหาสงกรานต์แก่งสะพือ เป็น SOFT POWER ด้านวัฒนธรรม ของจังหวัดอุบลราชธานี โดยงาน มหาสงกรานต์แก่งสะพือ ประจำปี 2567  เพื่อเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้คงอยู่สืบต่อไป ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็น Soft Power ของจังหวัดอุบลราชธานี

พร้อมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้แก่ท้องถิ่น และเป็นการฟื้นฟู การละเล่นพื้นบ้าน และ การแสดงวิถีชุมชนพื้นเมืองต่างๆ ทั้งยังสร้างความ สนุกสนาน รื่นเริงให้กับประชาชนที่มาร่วมงาน ตลอดเดือนเมษายน 2567 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ มาท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 100,000คน มีเงินหมุนเวียน ในพื้นที่ กว่า 500 ล้านบาท
 

ทางด้าน ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา   นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร กล่าวว่า การจัดงาน "อัศจรรย์มหาสงกรานต์แก่งสะพือ World Songkran Festival" ในครั้งนี้ ได้เตรียมกิจกรรมต่างๆมากมายไว้ต้อนรับนักทักท่องเที่ยว  ตลอดทั้งเดือน ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ  กิจกรรมดนตรีและสายน้ำ  การแสดงเพื่อเฉลิมฉลอง"สงกรานต์ในไทย" ขึ้นทะเบียนมรดกโลก งานวิ่ง KANG SAPHUE RUN มันส์ทะลุแก่ง ครั้งที่  2 การประกวดก่อเจดีย์ทราย การแข่งขันมวยทะเล  การประกวดนางสาวพิบูลมังสาหาร - ถนนซาลาเปาสายน้ำ DJ/MC/CONCERT การประกวดนางสงกรานต์ การละเล่นโบราณ เช่น การเส็งกลองการแข่งขันบักขั่ง(ลูกข่าง) และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย  

สำหรับข้อกังวลในการควบคุมราคาอาหาร ว่าจะราคาสูงกว่าปกติหรือไม่ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตนเองยืนยันว่า จะไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเด็ดขาด โดยจะกำชับเจ้าหน้าที่เข้มงวดในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ขอให้นักท่องเที่ยวสบายใจได้  และขอให้มีความสุขกับงานสงกรานต์แก่งสะพือ กันอย่างมีความสุข และสบายใจ ในการท่องเที่ยวในครั้งนี้ 

นายอาทิตย์ พรคุณา หัวหน้ากองโรงไฟฟ้าเขื่อนสิรินธร-ปากมูล กล่าวว่า โดยมีมติให้มีการควบคุมระดับน้ำที่สถานีวัดน้ำสะพานเสรีประชาธิปไตย M.7 ให้มีระดับไม่ต่ำกว่า 106.50 ม.รทก. และระดับน้ำหน้าเขื่อนปากมูล อยู่ที่ระดับน้ำประมาณ 106.00 ม.รทก. เป็นแนวทางในการควบคุมระดับน้ำเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ของ แก่งสะพือ  อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี

โดยในเบื้องต้นทาง กฟผ.เริ่มลดระดับน้ำตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป โดยลดระดับน้ำลงวันละประมาณ 10 เซนติเมตร พร้อมควบคุมระดับน้ำที่แก่งสะพือ ให้มีความเหมาะต่อการ ลงเล่นน้ำของนักท่องเที่ยว ที่แก่งสะพือ  ระหว่างวันที่1-30 เมษายน 67 นี้ โดยในขณะที่มีการลดระดับน้ำ ก็ได้ประสานกับทางชลประทานที่ 7 ตลอด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการ การผลิตน้ำประปา ของจังหวดอุบลราชธานี รวมถึง การใช้น้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และการเกษตร ของประชาชน ตามลำแม่น้ำมูล

ทั้งนี้ ทาง กฟผ.เขื่อนสิรินธร พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ในการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวเทศกาลสงกรานต์เที่ยวได้ทั้งเดือน  ตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ต่อไป