วันความสุขสากล (The International Day of Happiness) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555 (ค.ศ. 2012) ในการประชุม สหประชาชาติ ซึ่งกำหนดให้ วันที่ 20 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันที่คนทั่วโลกจะร่วมเฉลิมฉลอง และตระหนักถึง “ความสุข” ซึ่งเป็นความปรารถนาพื้นฐานของมนุษย์ และยังใช้โอกาสนี้ในการเรียกร้องให้แต่ละประเทศผลักดันนโยบาย “เพิ่มความสุข” ให้กับประชาชนด้วย
ทั้งนี้ วันความสุขสากล มีที่มาจากต้นแบบแนวคิดของประเทศภูฏาน (Bhutan) ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก และใช้ดัชนีมวลรวมความสุข หรือ Gross National Happiness Index (GNH) แทนการใช้ดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ Gross Domestic Product (GDP) เป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จหรือความมั่งคั่งของประเทศ
โดย “ดัชนีมวลรวมความสุข” นั้น ไม่ได้ใช้ชี้วัดการพัฒนาประเทศด้วยตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ให้คุณค่ากับจิตใจที่ดีของประชาชนเป็นหลัก
เว็บไซต์ของ สหประชาชาติ ระบุว่า ความสุขนั้นคือเป้าหมายอันเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงให้การรับรองเป้าหมายพื้นฐานดังกล่าวและเรียกร้องให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆนั้น ดำเนินไปด้วยความสมดุล ตระหนักถึงประโยชน์ของคนทุกกลุ่ม มอบความเท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ส่งเสริมความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทุกคน
ในวันที่ 20 มีนาคมของทุกปี ทางสหประชาชาติยังมีภารกิจสำคัญที่สอดคล้องกับวันความสุขสากล ซึ่งก็คือการเผยแพร่รายงานความสุขโลกประจำปี หรือ World Happiness Report ซึ่งมีการรายงานต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว
ในยุคสมัยที่สังคมมีการแข่งขันสูง บางคนเกิดความผิดหวัง โทษตัวเอง กลายเป็นคนคิดลบ ไม่มีความสุข มองสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ทำให้เกิดความเครียด เศร้า เสียใจ จึงควรค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้กลายเป็น “คนคิดบวก” เพราะการคิดบวกเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน ด้วยการหมั่นตั้งคำถามกับตัวเองว่า วันนี้ สัปดาห์นี้ มีสิ่งดีๆ อะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือหมั่นทบทวนว่า ปัญหาที่พบเจอให้ประโยชน์อะไรกับชีวิต
การฝึกให้คิดบวกบ่อยๆ จะทำให้คนผู้นั้นมีมุมมองทางบวกต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ นอกจากนี้ การคิดบวกหรือการมองโลกในแง่ดี จะช่วยให้มองเห็นโอกาสที่แฝงมากับปัญหา ทำให้ความคิดของแต่ละคนเติบโตและเข้าใจชีวิตมากขึ้น จนเกิดเป็นความสุขและความสบายใจ เป็นทุกข์น้อยลง มีแรงจูงใจที่ จะต่อสู้กับชีวิตและเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งวิธีการสร้างความสุขที่ได้จากการคิดบวก คือ
ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์สหประชาชาติ / กรมประชาสัมพันธ์