จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับงานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีลหรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ ประจำปี 2568 ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ซึ่งในปีนี้งานจัดขึ้นวันที่ 23 -29 พฤษภาคม 2568
โดยในช่วงเช้าของวันนี้ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เป็นประธานประกอบพิธีอัญเชิญพระพุทธคันธาราษฎร์ หรือ พระเจ้าฝนแสนห่า พร้อมด้วยเครื่องสักการะ ขึ้นประดิษฐานบนรถบุษบก แห่ขบวนออกจากวัดช่างแต้ม ด้วยริ้วขบวนแบบล้านนาเพื่อนำมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มงานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล ประจำปี 2568
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ในทุกๆปีจะมีพิธีสักการะบูชาเสาอินทขิลหรือหรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจและเป็นสิริมงคลให้แก่ชาวบ้านชาวเมือง รวมทั้งผู้ที่ทำเกี่ยวกับเกษตรที่ต้องการให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล จึงได้อัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่าอันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ที่ผู้คนในเชียงใหม่เชื่อว่าสามารถบันดาลให้ฝนตก มาเป็นประธานในขบวนแห่รอบเมืองให้ประชาชนได้สรงน้ำบูชา เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต และเมื่อสิ้นสุดงานประเพณีใส่ขันดอกแล้ว ก็จะอัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่ากลับวัดช่างแต้มเช่นเดิม
พุทธศาสนิกชนสามารถมาร่วมทำบุญประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล ประจำปี 2568 ได้ตั้งแต่วันนี้ 23 พฤษภาคม 2568 ไปจนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ในเวลา 06.00-24.00 น. ของทุกวัน ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 จะมีการทำบุญออกอินทขีล
อนึ่งตำนานความเป็นมาของ เสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่)ข้อมูลจาก วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เชียงใหม่ ได้บอกกล่าวเล่าขานว่า บริเวณที่ตั้งเมืองเชียงใหม่ศูนย์กลางอาณาจักรล้านนา เป็นที่ตั้งบ้านเมืองของชาวลัวะ ในเมืองมีผีหลอกหลอน ทำให้ชาวเมืองเดือดร้อนไม่เป็นอันทำมาหากิน อดอยากยากจน พระอินทร์จึงได้ประทานความช่วยเหลือบันดาลบ่อเงิน บ่อทอง และบ่อแก้วไว้ในเมือง
เมื่อเศรษฐีลัวะ 9 ตระกูล แบ่งกันดูแลบ่อทั้งสามบ่อ บ่อละสามตระกูล โดยที่ชาวลัวะต้องถือศีล รักษาคำสัตย์ เมื่อชาวลัวะอธิษฐานสิ่งใดก็จะได้สมดังปรารถนา ชาวลัวะก็ปฎิบัติ ตามเป็นอย่างดี บรรดาชาวลัวะทั้งหลายต่างก็มีความสุขความอุดมสมบูรณ์
ข่าวความสุขความอุดมสมบูรณ์ของเวียงนพบุรี ซึ่งเป็นตระกูลของชาวลัวะเลื่องลือไปไกลและได้ชักนำให้เมืองอื่นยกทัพมาขอแบ่งปัน ชาวเมืองลัวะตกใจจึงขอให้ฤๅษีนำความไปกราบทูลพระอินทร์ พระอินทร์จึงให้กุมภัณฑ์ หรือยักษ์สองตน ชื่อว่าพญายักขราช พญาอมรเทพ ขุดอินทขีลหรือเสาตะปูพระอินทร์ ใส่สาแหรกเหล็กหาบไปฝังไว้กลางเวียงนพบุรี เสาอินทขีลนั้น มีฤทธิ์มาดลบันดาลให้ข้าศึกที่มากลายร่างเป็นพ่อค้า พ่อค้าเหล่านั้นต่างตั้งใจมาขอสมบัติจากบ่อทั้งสาม ชาวลัวะแนะนำให้พ่อค้าถือศีลและรักษาคำสัตย์และอย่าละโมบ เมื่อขอสิ่งใดก็จะได้ พ่อค้าบางคนทำตาม บางคนไม่ทำตาม บางคนละโมบ ทำให้กุมภัณฑ์สองตนที่เฝ้าเสาอินทขีลโกรธ จึงพากันหามเสาอินทขีล กลับขึ้นสวรรค์ไป บ่อเงิน บ่อทอง บ่อแก้ว ก็เสื่อมลง
ชาวลัวะผู้เฒ่าคนหนึ่งไปบูชาเสาอินทขีลอยู่เสมอ ทราบว่ายักษ์ทั้งสองได้นำเสาอินทขีลกลับขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ก็เสียใจมาก จึงถือบวชนุ่งขาวห่มขาวบำเพ็ญศีลภาวณาอยู่ใต้ต้นยางเป็นเวลานานถึงสามปี ก็มีพระเถระรูปหนึ่งทำนายว่า ต่อไปบ้านเมืองจะถึงกาลวิบัติ ชาวลัวะเกิดความกลัวจึงขอร้องให้พระเถระรูปนั้นช่วยเหลือ พระเถระได้บอกให้ลัวะ 4 ฝ่าย คือ พระภิกษุ ฤๅษี ผี และประชาชน ร่วมกันหล่ออ่างขางหรือกระทะขนาดใหญ่ แล้วใส่รูปปั้นต่างๆ อย่างละ 1 คู่ ช้าง ม้า เป็นต้น ให้ปั้นรูปคนชาย หญิงให้ครบร้อยเอ็ดภาษาใส่กระทะใหญ่ลงฝังในหลุม แล้วทำเสาอินทขีลไว้เบื้องบนทำพิธีสักการบูชา จะทำให้บ้านเมืองพ้นภัยพิบัติ การทำพิธีบวงสรวงสักการบูชาจึงกลายเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ ประเพณีบูชาเสาอินทขีล (ไหว้เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ประเพณีใส่ขันดอก
ประมาณปีพุทธศักราช 2343 พระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ในสมัยนั้นได้ร่วมมือกับกองทัพของพระเจ้าตากสินมหาราช ขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนาได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็ได้มีการฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ขึ้นมา และได้ย้ายเสาอินทขีลมาประดิษฐานไว้ที่ วิหารเสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่)วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เมืองเชียงใหม่ มาจนถึงปัจจุบัน พร้อมทรงปลูกต้นไม้หมายเมืองไว้คู่กับเสาอินทขีล(เสาหลักเมืองเชียงใหม่) คือต้นยางนาด้วย
ต่อมาในสมัย พระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ได้ให้สร้างรูปปั้นกุมภัณฑ์และรูปพระฤๅษีไว้พร้อมเสาอินทขีลเป็นสัญลักษณ์คู่กันเอาไว้ข้างวิหารเสาอินทขีล การสักการบูชาเสาอินทขีล จะเริ่มทำในวันแรม 12 ค่ำ เดือน 6 (เดือน 8 เหนือ) เสร็จในวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 (เดือน9 เหนือ) ประจำทุกปี เรียกว่า เดือนแปดเข้า เดือนเก้าออก เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่บ้านเมืองประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินเงินทอง ฝนตกตามฤดูกาล
ที่มาข้อมูล-ภาพ