“วุ้นในลูกตาเสื่อม” เกิดจากอะไร รักษาได้ไหม? คำตอบคือ เกิดได้ง่ายและอันตรายต่อการมองเห็น ปกติมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุมากตั้งแต่ 40-50 ปีขึ้นไป แต่ในบางคนอาจเกิดภาวะเสื่อมก่อนอายุ
และปัจจุบันพบว่า ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นกับหนุ่มสาวคนทำงานออฟฟิศมากขึ้น จากพฤติกรรมการใช้หน้าจอมากเกินไป หรืออาจะเกิดขึ้นด้วยปัจจัยบางอย่าง เช่น
การได้รับการกระทบกระเทือนที่ดวงตา การผ่าตัดที่กระทำภายในลูกตา หรือในคนที่สายตาสั้น ซึ่งจะเกิดการเสื่อมของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป อาจเกิดตั้งแต่อายุ 10-20 ปี ยิ่งสายตาสั้นมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยไว้จะเกิดอันตราย และส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในที่สุด
เกิดจากน้ำวุ้นตาซึ่งเป็นของเหลวใสลักษณะคล้ายเจลที่อยู่ภายในโพรงลูกตา เริ่มหดตัวและทึบแสงขึ้น จนเกิดเป็นตะกอนขนาดเล็กลอยไปลอยมาในดวงตา หากลอยไปยังโซนรับภาพของจอประสาทตา อาจทำให้ผู้ป่วยมองเห็นตะกอน เมื่อเกิดการเสื่อมจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมากนัก แต่ถ้าหากเสื่อมมากวุ้นตาจะจับตัวกันเป็นก้อน เกิดเป็นฝ้า เห็นจุดดำข้างใน กระทบกับการเมองเห็น และมักเห็นในที่สว่างมาก
บางครั้งอาจเกิดการดึงจอประสาทตา ทำให้เหมือนมีแสงแวบขึ้นมาคล้ายแฟลชในที่มืด ปัญหาใหญ่คือ อาจทำให้เกิดการฉีกขาดของจอประสาทตา จอประสาทตาถลอก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบังตาไว้ และส่วนที่มองไม่เห็นนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจเกิดขึ้นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้
อาการข้างต้น อาจเป็นสัญญาณอันตราย หากรักษาล่าช้าอาจก่อให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร จึงควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจจอประสาทตาอย่างละเอียด และรับการรักษาอย่างทันท่วงที
แพทย์จะทำการตรวจตาด้วยกล้องจุลทรรศน์ รวมถึงหยอดยาขยายม่านตา หรือส่งถ่ายภาพจอประสาทตา เพื่อประเมินจอประสาทตาอย่างละเอียด
โดยส่วนใหญ่แล้วไม่จำเป็นต้องทำการรักษา เนื่องจากไม่ได้ส่งผลอันตราย เพราะสมองของคนเราจะค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับเงาดำหรือแสงวาบที่เกิดขึ้น แต่โรควุ้นตาเสื่อมจะไม่หายไปตามกาลเวลา และหากเงาตะกอนเริ่มส่งผลต่อการมองเห็นหรือการใช้ชีวิตประจำวัน มีวิธีการรักษา ได้แก่
ข้อมูลจาก: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลับมหิดล และ MrdPark Hospital