แพทย์หญิงณัฏฐพัชร์ ลำเลียงพล จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า จากสถิติของโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มกว่า 25% หรือมากถึง 1 ใน 4 ของประชากร ขณะเดียวกันสถานการณ์โรคซึมเศร้าในประเทศไทยก็มีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง โดยมีปัจจัยหลายอย่างส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นในทุกปี และส่งผลต่อความต้องการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในแต่ละปีมีประชากรไทยราว 1.5 ล้านคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คิดเป็น 2-3% ของประชากรทั้งหมด และจำนวนผู้ป่วยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุ ซึ่งโรคซึมเศร้าไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ในขณะที่ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยเข้าไม่ถึงการรักษา และผู้ป่วยบางรายไม่ยอมรับการรักษา เพราะกลัวการตีตรา หรือไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการรักษา
สำหรับโรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้ป่วยได้อย่างมาก ซึ่งการตรวจหาโรคในระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ศูนย์โรคซึมเศร้าครบวงจรของ BMHH หรือศูนย์ Comprehensive Depression Center ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประเมินอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมเริ่มต้นการรักษาได้ทันท่วงที โดยความร่วมมือของทีมสหสาขาวิชาชีพที่หลากหลาย ประกอบด้วย จิตแพทย์ นักจิตวิทยา เภสัชกร และพยาบาล เป็นต้น
แพทย์หญิงณัฏฐพัชร์ กล่าวว่า อาการของโรคซึมเศร้าสังเกตได้ 2 อารมณ์คือ 1.อารมณ์ด้านลบ 2.ภาวะสิ้นยินดี หากรู้สึกไม่มีความสุขจากกิจกรรมที่เคยทำแล้วมีความสุข ควรพบแพทย์ ซึ่ง Comprehensive Depression Center ของ BMHH สามารถรองรับผู้ป่วยได้ทุกช่วงวัยตั้งแต่วัยเด็ก-ผู้สูงอายุ โดยมีสิ่งที่ให้ความสำคัญที่สุดคือ
การรักษาโรคซึมเศร้าไม่ใช่เพียงแค่การใช้ยารักษาเท่านั้น แต่จะต้องอาศัยการทำงานร่วมมือกันของทีมสหสาขาวิชาชีพที่หลากหลาย จึงจะช่วยให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างครอบคลุม ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ยกระดับการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น BMHH เชื่อว่าการรักษาโรคซึมเศร้าที่ดีต้องเป็นการรักษาที่ปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพราะแต่ละคนมีปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคแตกต่างกันไป
"เราจึงให้ความสำคัญกับการประเมินและประวัติของผู้ป่วยแต่ละรายอย่างละเอียด เพื่อช่วยให้การประเมินและวางแผนการรักษามีความแม่นยำเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีทั้งการใช้ยา การทำจิตบำบัด รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น dTMS หรือ Deep Transcranial Magnetic Stimulation เป็นการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองส่วนลึก เพื่อช่วยลดอาการซึมเศร้า”
อย่างไรก็ตาม "โรคซึมเศร้า" มักเกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมองหลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน, นอร์เอพิเนฟริน และโดปามีน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเศร้าหมอง เบื่อหน่าย หมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต รู้สึกสิ้นหวัง และอาจคิดฆ่าตัวตายได้ ซึ่งความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้างและการตีตราทางสังคมยังคงเป็นอุปสรรคในการเข้ารับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่กล้าไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาที่เหมาะสม ดังนั้น การตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและการสนับสนุนที่เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ