สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวใหม่มีกำหนดเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและนักวิเคราะห์กล่าวว่า วัคซีนดังกล่าวอาจจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก แม้ยอดผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจาก ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย ที่ชื่อ เอริส (Eris) หรือ EG.5 กำลังพุ่งขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกาก็ตาม
ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขบางคนคาดหวังว่า ชาวอเมริกันจะยอมฉีดวัคซีนตัวใหม่เหมือนกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่ความเป็นจริงก่อนหน้านี้ก็คือ ความต้องการฉีดวัคซีนในสหรัฐลดลงอย่างรุนแรงนับตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งมีการเปิดให้ฉีดวัคซีนโควิดเป็นครั้งแรก และประชาชนมากกว่า 240 ล้านคนในสหรัฐ หรือ 73% ของประชากรทั้งหมด ก็ได้รับวัคซีนโควิดแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีที่ผ่านมา (2565) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิดหรือได้รับวัคซีนนั้น จำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมีน้อยกว่า 50 ล้านคน
ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขและร้านขายยา เช่น ซีวีเอส เฮลท์ (CVS Health) จะเริ่มบริการฉีดวัคซีนสูตรดัดแปลงใหม่เพื่อต่อสู้กับสายพันธุ์ย่อยของเชื้อไวรัสโอมิครอนซึ่งแพร่ระบาดตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
นางแอชลีย์ เคอร์ซิงเกอร์ ผู้อำนวยการด้านระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจมูลนิธิครอบครัวไคเซอร์ (KFF) ให้คำอธิบายว่า ความสนใจหรือความกระตือรือร้นที่จะฉีดวัคซีนที่ลดลงนั้น เป็นเพราะประชาชนมีความกังวลลดลงเกี่ยวกับไวรัสโควิด ประกอบกับมีความเบื่อหน่าย และความสงสัยเกี่ยวกับประโยชน์ของวัคซีน พร้อมกันนี้ ยังให้คำแนะนำเสริมว่า
"หากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องการเห็นประชากรส่วนใหญ่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดประจำปี พวกเขาต้องแจ้งต่อสาธารณชนชาวอเมริกันว่า โควิดยังไม่จบสิ้น และยังคงมีความเสี่ยงอยู่"
ในการสำรวจของ KFF เมื่อต้นปีนี้ พบว่า เหตุผลหลักที่ผู้คนงดการฉีดวัคซีนประจำปีก็คือ การที่พวกเขาเชื่อมั่นว่า ได้รับการป้องกันจากไวรัสแล้ว อันเนื่องมาจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อก่อนหน้านี้
อาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์ “เอริส”
องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดประเภทให้ไวรัสโควิด Eris (เอริส) หรือในอีกชื่อเรียกคือ EG.5 เป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจ (Variants of Interest หรือ VOI) ยังไม่ถึงขั้นสายพันธุ์ที่น่ากังวล (Variants of Concern หรือ VOC) มันเป็นไวรัสสายพันธุ์ที่แยกย่อยมาจากโอมิครอน XBB ปัจจุบันมีการตรวจพบแล้ว ใน 51 ประเทศ รวมทั้งในสหรัฐและอังกฤษ ที่ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสองเท่าในช่วงเดือนที่ผ่านมา
แพทย์ระบุว่า อาการเริ่มแรกของไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย (subvariant) ตัวใหม่นี้ คล้ายกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนอื่นๆ เริ่มแรกคือการเจ็บคอ โดยเฉพาะเมื่อเวลาพูดหรือกลืน นอกจากนี้ ยังอาจรู้สึกแห้งคอ หรือคันคอ และบางครั้งอาจมีคออักเสบร่วมด้วย
อีกอาการที่พบได้และคล้ายอาการหวัด คือ น้ำมูกไหลและคัดจมูก ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันตัวของร่างกายที่สร้างเมือกใส(น้ำมูก) ออกมาขับไวรัสที่รุกรานออกไปจากร่างกาย ทั้งนี้ โอมิครอนเป็นเชื้อไวรัสที่มักพบในอวัยวะระบบทางเดินหายใจตอนบน ซึ่งรวมถึงโพรงจมูก ลำคอ และช่องปาก ขณะที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม เช่น เดลต้า พบมากกว่าในปอด
นอกจากนี้ ยังมีอาการไอจาม ซึ่งเป็นกระบวนการขับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมออกจากปอดผ่านทางจมูกและปาก แต่แน่นอนว่า อาการไอจามละอองน้ำลายออกมาก็เป็นช่องทางแพร่กระจายเชื้อโรคในขณะเดียวกัน งานวิจัยพบว่า 2 ใน 3 ของการไอที่เกี่ยวเนื่องกับโควิด-19 มักเป็นไอแบบแห้งๆ และไม่มีเสมหะ บางคนอาจจะไอถี่ๆหรือไอไม่หยุดกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ ไข้สูงไม่ใช่อาการหลักของผู้ป่วยไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์เอริส แต่พวกเขาอาจมีอาการปวดศีรษะ เสียงแหบ ปวดกล้ามเนื้อ และสูญเสียการรับรสได้เช่นกัน