โควิด 19 ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง การสร้างภูมิต้านทานให้กับตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
โดยการสร้างภูมิต้านทานมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ การฉีดวัคซีน และการติดเชื้อโควิด-19
คำถามที่สำคัญก็คือภูมิคุ้มกันรูปแบบไหนที่ดีกว่า และอยู่ได้นาน
จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" เพื่อหาคำตอบเรื่องดังกล่าวพบว่า
ล่าสุดนพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
โควิด 19 ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อร่วมกับ วัคซีน จะอยู่ยาวนาน กว่าภูมิที่ได้รับวัคซีนอย่างเดียว
หมอยง บอกว่า จากการศึกษาของทีม ในการศึกษาผลระยะยาวของภูมิต้านทาน โดยแบ่งกลุ่ม ตามจำนวนการฉีดวัคซีน 2 เข็ม 3 เข็ม และ 4 เข็ม ในผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อและเคยติดเชื้อร่วมกับการฉีดวัคซีน
จะเห็นว่า ในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้ว มีการติดเชื้อร่วมด้วย ระดับภูมิต้านทานจะสูงลอยยาวนานร่วมปี ไม่ว่าจะให้วัคซีน 2 เข็ม 3 เข็มหรือ 4 เข็ม เปรียบเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างเดียวภูมิต้านทานจะลงค่อนข้างเร็วกว่า
อย่างไรก็ดี ประชากรไทยส่วนใหญ่ติดเชื้อไปแล้ว (80%) และโดยมากเคยได้รับวัคซีนแล้วด้วย ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจึงเป็นภูมิต้านทานแบบลูกผสม ทำให้มีภูมิอยู่นาน และมีความสามารถในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคได้อย่างดี จึงเป็นเหตุหนึ่งให้โรคนี้สงบลง
นอกจากนี้ หมอยง ยังได้ระบุอีกด้วยว่า โควิด 19 ความต้องการจะฉีดวัคซีนในภาวะปัจจุบัน
วัคซีนในระยะแรกกับในปัจจุบัน สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ในระยะแรกของโรคโควิดโรคมีความรุนแรงสูง วัคซีนที่ทดลองมาใช้ระยะเวลาสั้นและมีอาการข้างเคียงบ้าง ทุกคนก็ยอมใช้ขวนขวายที่จะหา (ถ้าในยามปกติวัคซีนที่ฉีดแล้วมีไข้สูง โดยเฉพาะวัคซีนในเด็กปัจจุบัน จะไม่เป็นที่ยอมรับอย่างแน่นอน)
ในระยะแรกเมื่อสำรวจความต้องการของวัคซีนด้วยแบบสอบถาม ประชากรส่วนใหญ่ถึง 80% มีความต้องการอย่างใต้วัคซีน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเมื่อโรคมีความรุนแรงลดลง คล้ายไข้หวัดใหญ่หรือโรคทางเดินหายใจ การพิจารณาใช้วัคซีนจะคำนึงถึงความปลอดภัย ของวัคซีนมากขึ้น
โดยหลักการ ก็คือคำนึงถึงผลได้และผลเสียในสภาวะนั้น ความลังเลในการจะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อไปก็เริ่มมีมากขึ้น
และขณะนี้มีผู้ได้รับวัคซีนไปมากแล้วและมีการติดเชื้อมากเช่นกัน เมื่อมีแบบสอบถามไปถาม ความต้องการของวัคซีนในเข็มกระตุ้นลดลงเหลือ 60% และเมื่อวัคซีนขวดหนึ่งต้องฉีดหลายคน ตลอดจนการเก็บรักษา การบริหารวัคซีน และการฉีดวัคซีน จะน้อยกว่าเป้าหมาย