จากข้อมูลการเติบโตของอุตสาหกรรมการปลูกผมถาวรทั่วโลกในปี 2564 พบว่ามีมูลค่าตลาดสูงถึง 5,677.61 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าในปี 2570 จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 8,777.56 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโต CAGR สูงถึง 7.98%
สอดคล้องกับการสำรวจจากสมาคมศัลยกรรมปลูกผมนานาชาติ (International Society of Hair Restoration Surgery) ในปี 2562 ที่ได้ประเมินเคสผ่าตัดปลูกผมทั่วโลกมีมากถึง 735,312 ครั้ง
ซึ่งมากกว่าปี 2559 ถึง 16% โดยแถบอเมริกาเหนือเป็นบริเวณที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ขณะเดียวกันแถบเอเชีย-แปซิฟิค เป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วสุดในอุตสาหกรรมนี้ในปัจจุบัน โดยคาดว่าจะเติบโตมากว่า 35% ในปี 2576 และส่งผลให้ตลาดปลูกผมโลกขยายตัวกว่า 200,000 ล้านบาท
นายพรศักดิ์ เจียมสว่างพร ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บีอีคิว กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการร่วมมือกับโรงพยาบาล โมเจริม ซึ่งดำเนินธุรกิจทางด้านการปลูกผมของประเทศเกาหลีใต้ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อส่งเสริมทักษะ เทคนิค และองค์ความรู้ด้านวิชาการ พัฒนางานวิจัย และเทคโนโลยีด้านการแพทย์ปลูกผม เพื่อเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ธุรกิจเฉพาะทางด้านการปลูกผมระดับโลกภายในปี 2568
นอกจากนี้บีอีคิว กรุ๊ป ยังมีเป้าหมายที่ต้องการขยายธุรกิจของกลุ่มให้ครบวงจร ครอบคลุมทุกองค์รวมของการประกอบธุรกิจ อาทิ สถาบันปลูกผม, สถาบันส่งเสริมการทำธุรกิจปลูกผม, ศูนย์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะแบบบูรณาการ, บริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ปลูกผม
และเพิ่มความรวดเร็วเปรียบเสมือน Fast Track – Short Cut ทางลัดให้กับผู้ที่สนใจประกอบธุรกิจการปลูกผมถาวร และแพทย์ที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง สร้างโอกาสให้กลุ่มแพทย์ได้เพิ่มพูนทักษะเฉพาะทางด้านปลูกผม และเข้าถึงองค์ความรู้ เทคนิค ที่ทันสมัยผ่านความร่วมมือระดับประเทศนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดีความร่วมมือดังกล่าว จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมด้านการปลูกผมในภูมิภาคเอเชียที่จะขยายสู่ระดับสากลได้ในระยะเวลาไม่นาน โดยสามารถสร้างมูลค่าธุรกิจให้เติบโตได้ทั้งในและต่างประเทศ เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดความยั่งยืน และก้าวสู่ศูนย์กลางระดับโลกในอนาคตอันใกล้
นายแพทย์ ฮวัง จุง อุค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาล โมเจริม กล่าวว่า โมเจริม มีความต้องการขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศไทย โดยต้องการผลักดันให้อุตสาหกรรมการปลูกผมมีความยั่งยืน เพิ่มโอกาสให้แพทย์ในเอเชียได้เข้าถึงเทคโนโลยี เทคนิคได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและแลกเปลี่ยนเทคนิค พัฒนางานวิจัยต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับคนไข้ของโรงพยาบาลในอนาคต
รวมถึงต้องการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมในด้านการปลูกผมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถยกระดับให้มีมาตรฐานเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมระดับนานาชาติ
ด้านนายแพทย์ เนติทัศน์ ชินอ่อน ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมธุรกิจทางการแพทย์ พาวีคอน เมดิเนส อะคาเดมี (Pavicon Mediness Academy) (PMA) กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดปลูกผมในประเทศไทยมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2565 เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างธุรกิจให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีแผนสร้างธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดจากธุรกิจเดิม โดยมีเป้าหมายที่จะเป็น HAIR RESTORATION CENTER ที่ยั่งยืนแห่งใหม่ของโลก โดยโครงการนี้จะเริ่มตั้งแต่ปี 2566-2568 ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าของธุรกิจในกลุ่มบีอีคิว กรุ๊ป เพิ่มขึ้นตามไปด้วยโดยจะมีมูลค่ามากกว่า 1,400 ล้านบาท ในปี 2568 และภายใน 5 ปี ตั้งเป้าจะเป็นที่ 1 ด้านการปลูกผม ดูแลเส้นผม และหนังศีรษะ แบบครบวงจรของเอเชีย