เยาวชนไทยใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงกว่าประเทศมีกฎหมายควบคุมถูกต้อง

25 ธ.ค. 2566 | 12:39 น.

เยาวชนไทยใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงกว่าประเทศมีกฎหมายควบคุมถูกต้อง เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าโต้ WHO อวยแบนทิพย์บุหรี่ไฟฟ้าในไทย เชื่อนำขึ้นมาบนดินควบคุมด้วยกฎหมายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดการเข้าถึงของเยาวชนได้

จากแถลงการณ์ของผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ในประเทศไทย จากงานเสวนาการแถลงการณ์องค์การอนามัยโลก เรื่องบุหรี่ไฟฟ้าภัยคุกคามต่อเด็กและเยาวชนที่สนับสนุนให้ไทยคงมาตรการห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพของผู้ใช้และคนรอบข้างรวมถึงปกป้องเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ 

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า นำโดยเพจลาขาดควันยาสูบ (ECST) และเพจมนุษย์ควันร่วมย้ำจุดยืนที่ต้องการกฎหมายควบคุมการขาย การตลาด การกำหนดอายุผู้ซื้อผู้ขาย การควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อปกป้องผู้บริโภค และป้องกันผู้ใช้หน้าใหม่ที่เป็นเด็กและเยาวชน

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนจากเพจลาขาดควันยาสูบ ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่ทั่วไปในสังคมไทย และปัญหาเยาวชนไทยเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องจริงในปัจจุบันที่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ แม้จะมีมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามาเกือบ 10 ปี 
 

ทั้งนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ไม่มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเลย การคงมาตรการห้ามขายทำให้เกิดคำถามที่น่ากังวลว่าสินค้าที่อยู่ใต้ดินเข้าถึงง่ายเหล่านี้มีคุณภาพและความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน การไม่ควบคุมเลยจะทำให้เกิดอันตรายมากกว่ากับทุกฝ่ายในรูปแบบที่คาดไม่ถึง 

เยาวชนไทยใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงกว่าประเทศมีกฎหมายควบคุมถูกต้อง

"ทางออกเดียวคือจำเป็นต้องมีกฎหมายเข้ามาควบคุมอย่างเหมาะสม ต้องการถามกลับว่า ถ้าแบนแล้วดีจริงทำไม WHO ไม่ไปร้องเรียกให้สหรัฐฯ อังกฤษ ประเทศกลุ่มอียู เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นหันมาแบนบุหรี่ไฟฟ้าบ้าง มาเชียร์แต่ประเทศไทย"

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน จากเพจมนุษย์ควัน กล่าวว่า สถิติเยาวชนใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 3.3% ในปี 2558 ในช่วงเริ่มต้นการแบนในไทย เป็น 9.1% ในปี 2566 

ขณะที่ประเทศที่มีการแบนบุหรี่ไฟฟ้า เช่น ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ก็เจอกับปัญหาเดียวกัน โดยออสเตรเลียภายหลังการมีคำสั่งให้มีใบสั่งยาสำหรับการใช้และการขายบุหรี่ไฟฟ้าในปี 2564 จำนวนเยาวชนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าก็สูงขึ้นจาก 9.8% เป็น 14.5% ในปี 2566 

ส่วนประเทศที่มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกกฎหมาย เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ มีสถิติเยาวชนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ที่ 8% ,6% ,5% และ3.7% ซึ่งน้อยกว่าประเทศที่มีการแบนอยู่

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริง WHO ไม่เคยกำหนดให้ทุกประเทศห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า เพราะหากห้ามจริงบุหรี่ไฟฟ้าคงไม่ถูกกฎหมายแล้วในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ความหวังที่อยากให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นศูนย์ในไทยคงยากที่จะเป็นจริงได้ 

สิ่งที่ไทยควรทำและทำได้ตอนนี้คือเปิดโอกาสให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยได้ทำงานโดยพิจารณาเหตุและผลอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เพียงด้านสุขภาพเท่านั้น ต้องคำนึงถึงบริบทของสังคมไทยตอนนี้ด้วย