เพิ่ม thansettakij
ลงในหน้าจอหลักของคุณ
จากข้อมูล การสำรวจความคิดเห็นของแกลลัป (Gallup) ที่จัดทำในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (2022) พบว่า การทำงานจากที่บ้าน หรือการที่ไม่ได้เข้าไปทำงานในออฟฟิศนั้น อาจจะทำให้ การสร้างมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงาน กลายเป็นเรื่องยากเย็นมากขึ้น โดยในสหรัฐอเมริกามีพนักงานเพียง 2 คนจากทุก ๆ 10 คนเท่านั้น ที่บอกว่ามี “เพื่อนสนิท” ในที่ทำงาน
นายจิม ฮาร์เทอร์ นักวิจัยด้านสถานที่ทำงานและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของแกลลัปเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่า โดยทั่วไปแล้วคนหนุ่มสาวมีความรู้สึกว่า
คริสตัล พาวเวอร์ส ผู้จัดการฝ่ายเวชระเบียน ในรัฐวิสคอนซิน ซึ่งเริ่มทำงานจากที่บ้านเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว (2022) เป็นผู้จัดการคนเดียวที่ได้รับการว่าจ้างตั้งแต่เกิดโรคโควิดระบาด โดยเธอมีหน้าที่ดูแลบรรดาพนักงานที่ทำงานแบบเต็มเวลาที่ไม่ได้มาทำงานในออฟฟิศ (หรือพวกที่ทำงานแบบทางไกลนั่นเอง) เธอมีความเห็นว่า การสร้างทีมเป็นเรื่องยาก เพราะเธอยังไม่ได้พบกับพนักงาน 2 ใน 5 คนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอเลย
ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ พาวเวอร์สคิดว่า การที่จะทำให้พนักงานไว้วางใจในตัวของเธอในฐานะหัวหน้างานนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทายกว่าที่เคยเป็นมา เพราะคนเหล่านั้นยังไม่รู้จักเธอจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า การติดต่อกับผู้จัดการคนอื่น ๆ ทางออนไลน์จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่เธอก็ยังชอบทำงานแบบทางไกลอยู่ดี
ฮาร์เทอร์จากแกลลัปให้ความเห็นว่า การมีเพื่อนสนิทในที่ทำงานกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นนับตั้งแต่มีการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานให้ทำแบบทางไกล และแบบผสมผสาน ซึ่งก็คือ มีการทำงานทั้งจากที่บ้านและในที่ทำงาน
การสำรวจครั้งล่าสุดของแกลลัปพบว่า ในช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่โควิด-19 นั้น มิตรภาพในที่ทำงานช่วยพนักงานหลายคนในเรื่องการให้ความสนับสนุนทางสังคมและทางอารมณ์ในช่วงเวลาวิกฤต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาผู้ปกครอง นักการศึกษา และผู้ปฏิบัติงานอยู่ในแนวหน้า
นอกจากมิตรภาพในที่ทำงานจะให้ประโยชน์แก่พนักงานแล้ว ยังส่งผลดีต่อบรรดานายจ้างอีกด้วย โดยการวิจัยของแกลลัป แสดงให้เห็นว่า
จอห์นนี ซี เทย์เลอร์ จูเนียร์ ประธานและผู้บริหารของ Society for Human Resource Management กล่าวว่า มีสิ่งดี ๆ มากมายมาจากมิตรภาพในที่ทำงาน อย่างเช่น การที่บริษัทสามารถการรักษาพนักงานที่ดีเอาไว้ และยังช่วยให้เกิดความสงบสุขในที่ทำงาน และว่า เพื่อนในที่ทำงานจะช่วยให้ใจเย็นลงได้เมื่อเกิดความขัดแย้งกัน
เขากล่าวด้วยว่า บริษัทต่างๆ ได้หันมาสนับสนุนมิตรภาพในที่ทำงานอย่างจริงจัง ขณะที่องค์กรของเขาเองซึ่งมีพนักงานเกือบ 500 คนทั่วโลก มีการดำเนินโครงการหลายโครงการ โดยหนึ่งในนั้นคือ การทำให้ผู้คนมารวมตัวกันให้ได้ อย่างเช่น การที่องค์กรจะซื้ออาหารกลางวันสำหรับพนักงานที่เชิญพนักงานใหม่มาร่วมทานอาหารด้วย
เทย์เลอร์ จูเนียร์ กล่าวสรุปปิดท้ายว่า องค์กรของเขาพยายามนำคนที่มีประสบการณ์ชีวิต ภูมิหลัง และอื่น ๆ ที่แตกต่างกันมาอยู่รวมกัน โดยมีแนวคิดคือ การลองทานอาหารกลางวันกับคนแปลกหน้า แล้วทำให้พวกเขากลายมาเป็นเพื่อนกัน เป็นต้น
ข้อมูลอ้างอิง