เหตุผลที่ FDA เสนอฉีดวัคซีนโควิดปีละครั้งเหมือนไข้หวัดใหญ่ 

29 ม.ค. 2566 | 00:14 น.

สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ เสนอให้เปลี่ยนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนเป็นแบบปีละครั้งสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี คล้ายกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เรื่องนี้มีที่มา

 

สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ หรือ เอฟดีเอ (The Food and Drug Administration: FDA) เผยแพร่เอกสารบนสื่อออนไลน์ ระบุว่า วิธีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนเป็นแบบปีละครั้ง จะช่วยให้การฉีดวัคซีนโควิดทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนภายใต้ระบบปัจจุบันที่ชาวอเมริกันได้รับคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิดแบบ 2 โดสเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่เริ่มระบาดเมื่อปี 2563 และแนะนำให้ฉีดวัคซีนบูสเตอร์อีก 2 เข็มในเวลาต่อมา ซึ่งเข็มล่าสุดนั้นใช้ป้องกันทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์โอมิครอน

ข้อเสนอดังกล่าวของเอฟดีเอมีขึ้นก่อนการประชุมกับคณะที่ปรึกษาภายนอกเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา (26 ม.ค.) เอฟดีเอชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ต้องการวัคซีนโควิดเพียงปีละครั้งเพื่อปกป้องเชื้อโคโรนาไวรัส แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันโรค อาจต้องรับวัคซีนแบบ 2 โดสเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันเพิ่มเติม

ภายหลังการประชุมดังกล่าว มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ใช้วิธีการผสมผสาน โดยผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้วก็ให้ตามด้วยเข็มบูสเตอร์สูตรปรับปรุงใหม่เมื่อปีที่ผ่านมา (ที่สามารถป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยด้วย) ส่วนผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนก็สามารถรับวัคซีนบูสเตอร์สูตรใหม่เป็นวัคซีนเข็มแรกไปเลย

ลดขั้นตอนและสะดวกขึ้น

เมื่อข้อเสนอใหม่นี้ ผ่านการรับรองอย่างเป็นทางการทั้งจาก เอฟดีเอ และ ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐ หรือ ซีดีซี (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) นั่นก็อาจหมายถึงการยุติการใช้วัคซีนโควิดสูตรเก่าที่เป็น โมโนวาเลนต์วัคซีน (monovalent vaccine เป็นวัคซีนที่มีส่วนประกอบของไวรัสพันธุ์เดียวที่ใช้กันมาตั้งแต่ที่เริ่มมีการระบาดใหญ่ของโควิดในปี 2563) จึงขาดประสิทธิภาพในการต้านทานโควิดสายพันธุ์ย่อยต่างๆในปัจจุบัน ขณะที่วัคซีนบูสเตอร์ที่ได้รับการพัฒนาสูตรเมื่อปีที่ผ่านมา เป็น วัคซีนแบบไบวาเลนต์ (bivalent vaccine) ที่มีส่วนประกอบของไวรัสสองวงศ์ คือ BA.4 และ BA.5 สามารถต้านทานไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยในปัจจุบันได้ดีกว่าสูตรดั้งเดิม

  • ดังนั้น ข้อเสนอล่าสุดของเอฟดีเอจะทำให้ประชาชนที่ไม่เคยรับวัคซีนโควิดมาก่อน สามารถข้ามจากวัคซีนสูตรเดิมแบบโมโนวาเลนต์ที่ต้องฉีด 2 เข็ม มาฉีดวัคซีนสูตรปรับปรุงใหม่เป็นวัคซีนเข็มแรกไปเลย (เดิมใช้เป็นวัคซีนบูสเตอร์ หรือวัคซีนเข็มสามและสี่ สำหรับกระตุ้นภูมิต้านทาน)
  • และนั่นก็จะทำให้วัคซีน 2 สายพันธุ์ (ไบวาเลนต์วัคซีน) ของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่สามารถป้องกันครอบคลุมสายพันธุ์โอไมครอนและสายพันธุ์ดั้งเดิม จะถูกนำมาใช้เป็นเข็มหลักได้ ไม่ใช่เข็มกระตุ้นอีกต่อไป

ความเคลื่อนไหวนี้ มีขึ้นท่ามกลางบริบทที่ทั้งบริษัทผู้ผลิตวัคซีนและผู้เชี่ยวชาญต่างตั้งเป้าหมายพัฒนาวัคซีนโควิดแบบเข็มเดียวที่สามารถป้องกันเชื้อโคโรนาไวรัสหลายสายพันธุ์ที่มักระบาดในช่วงฤดูหนาว โดยอาจมีการปรับสูตรให้เหมาะสมในแต่ละปี

บริษัทผู้ผลิตวัคซีนต่างตั้งเป้าหมายพัฒนาวัคซีนโควิดแบบเข็มเดียวที่สามารถป้องกันเชื้อโคโรนาไวรัสหลายสายพันธุ์

ปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

นอกจากนี้ เอฟดีเอกำลังพิจารณาให้วัคซีนของแต่ละบริษัทสามารถใช้สลับกันได้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่า แต่ละคนได้ฉีดวัคซีนของบริษัทไหนไปบ้างแล้ว เป้าหมายเพื่อให้ง่ายต่อการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดในอนาคต ขณะเดียวกัน เอฟดีเอยังเสนอให้ปรับเปลี่ยนสายพันธุ์ไวรัสโรคโควิด-19 สำหรับผลิตวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้วัคซีนมีประสิทธิภาพ คล้ายกับการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่มีการปรับเปลี่ยนทุกปี

เอฟดีเอคาดหวังว่า การฉีดวัคซีนประจำปีจะช่วยลดความยุ่งยากและความผิดพลาดในการฉีด และจะช่วยให้อัตราการฉีดวัคซีนมีความครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลสหรัฐเตรียมรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในทุกฤดูใบไม้ร่วงก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว

ปัจจุบัน มีประชากรอเมริกันมากกว่า 80% ที่รับวัคซีนโควิดแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม แต่มีเพียง 16% เท่านั้นที่ฉีดเข็มบูสเตอร์เข็มสุดท้ายซึ่งเป็นเข็มที่ 4 ตามคำแนะนำก่อนหน้านี้ของเอฟดีเอ

ประชาชนส่วนใหญ่ในสหรัฐต้องฉีดวัคซีนโควิด 2 เข็มแรกโดยห่างกัน 3-4 สัปดาห์ จากนั้น ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในอีกหลายเดือนถัดมา ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์ที่ใช้สำหรับเด็กและผู้ที่เข้าเกณฑ์จะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยเข็มที่ 3 ที่เป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์จะฉีดในอีก 2 เดือนถัดมา

 

ข้อมูลอ้างอิง