ไทยพบแล้ว 1 ราย ผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.2.75.2 ที่หลบภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด

13 ก.ย. 2565 | 04:27 น.

"GISAID" พบ โอมิครอน BA.2.75.2 จากประเทศไทยที่อัปโหลดขึ้นมาบนฐานข้อมูล 1 ราย ยอมรับแม้จำนวนตัวอย่าง BA.2.75.2 ในไทยยังไม่มากพอ แต่จำเป็นต้องแยกแยะสายพันธุ์ต่างๆ ให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะวัคซีน-ยาที่มีอยู่ เริ่มมีประสิทธิภาพในการป้องกันรักษาแต่ละสายพันธุ์แตกต่างกัน

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า จากการสืบค้นจากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก "GISAID" พบ โอมิครอน BA.2.75.2 จาก ประเทศไทย ที่อัปโหลดขึ้นมาบน GISAID เพียง 1 ราย ซึ่งยังไม่สามารถคำนวณความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) เปรียบเทียบกับโอมิครอน BA.4 และ BA.5 ที่ระบาดในประเทศไทยได้ เพราะจำนวนตัวอย่าง BA.2.75.2 ในประเทศไม่มากพอ


อย่างไรก็ดี ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ มีความจำเป็นที่จะต้องแยกโอมิครอนสายพันธุ์ต่างๆ ออกจากกันให้ได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 24-48 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น BA.2, BA.4, BA.4.6, BA.5, BA.2.12.1, BA.2.75, BA.2.75.2 ฯลฯ เพราะการรักษาโควิด-19 เริ่มมีลักษณะมุ่งเป้า (precision medicine) มากขึ้นเป็นลำดับ ต่างจากการรักษาในช่วงต้นของการระบาดในปี 2562 ซึ่งผู้ป่วยทุกรายรักษาเหมือนกัน (One-size-fits-all)

 

ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันพบว่าเวชภัณฑ์ อาทิ วัคซีน (เข็มหลัก และเข็มกระตุ้น) ยาต้านไวรัส และแอนติบอดีสังเคราะห์ หลายประเภทมีประสิทธิภาพในการป้องกันหรือรักษาไวรัสโคโรนา 2019 แต่ละสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน

ในส่วนของ โอมิครอน BA.2.75.2 กลายพันธุ์มาจาก BA.2.75 ถือได้ว่าเป็นเจนเนอเรชัน 3 (3rd generation) โดยมีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัสดั้งเดิม (อู่ฮั่น) 95-100 ตำแหน่งเช่นกัน แต่มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ถึง 248% เมื่อเปรียบเทียบกับ BA.2.75 ที่ระบาดอยู่ในอินเดียขณะนี้ โดยพบการระบาดครั้งแรกในประเทศอินเดีย และแพร่ไปยังประเทศชิลี อังกฤษ สิงคโปร์ สเปน เยอรมนี และไทย


นอกจากนี้ โอมิครอน BA.2.75.2 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ถึง 90% เมื่อเปรียบเทียบกับ BA.5 และ 148% และเมื่อเปรียบเทียบกับ BA.4 ที่ระบาดอยู่ทั่วโลก

โอมิครอน BA.2.75.2 เป็นสายพันธุ์ที่หลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดในปัจจุบัน

ทั้งนี้ BA.2.75.2 มีการกลายพันธุ์บริเวณส่วนหนาม 3 ตำแหน่งที่ต่างไปจากโอมิครอน BA.2 และ BA.2.75 คือ S:R346T, S:F486S, S:D1199N สามารถใช้เป็นตำแหน่งตรวจกรองด้วยการถอดรหัสพันธุกรรม หรือการตรวจด้วย PCR

ทั้งนี้ โอมิครอน BA.2.75 เริ่มพบระบาดในอินเดียมาตั้งแต่เดือน พ.ค. 65 คิดเป็น 82.9% ของผู้ติดเชื้อรายใหม่

 

BA.2.75 มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ผู้เชี่ยวชาญหลายรายไม่ยอมรับคือ "เซนทอรัส (Centaurus) หรือมนุษย์ครึ่งคนครึ่งม้าในเทพนิยายกรีก" ซึ่งมีนัยถึงการกลายพันธุ์ไปมากที่สุดเมื่อเทียบกับไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์อื่นที่เคยมีการระบาดมาก่อนหน้า


ขณะนี้พบว่าโอมิครอน BA.2.75 ได้มีการกลายพันธุ์ต่อเนื่อง โดยหนึ่งในสายพันธุ์ย่อยที่กลายพันธุ์ไป คือ "BA.2.75.2" ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "เซนทอรัส 2.0" เนื่องจากเป็นลูกคนที่สองของ BA.2.75 (ลูกคนแรกคือ BA.2.75.1)


ด้านผู้เชี่ยวชาญภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า โอมิครอน BA.2.75.2 เป็นสายพันธุ์ที่หลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุดในปัจจุบัน จึงอาจก่อให้เกิดการแพร่เชื่อได้มากขึ้นไปอีกในอนาคต หรือเรียกว่าเป็น "The Super Contagious Omicron Subvariant" เลยทีเดียว


สำหรับโอมิครอน BA.2.75 กลายพันธุ์มาจาก BA.2 ถือได้ว่าเป็นเจเนอเรชัน 2 (2nd generation) โดยมีการกลายพันธุ์ต่างจากไวรัสดั้งเดิม (อู่ฮั่น) 95-100 ตำแหน่ง มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage)  ประมาณ 37% เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นที่ระบาดอยู่ในอินเดียในปัจจุบัน