สปสช. เตรียมใช้ ยาโมลนูพิราเวียร์ แทน ฟาวิพิราเวียร์ ให้ผู้ป่วยในระบบ 1330

02 ส.ค. 2565 | 11:10 น.

สปสช. เตรียมจ่อใช้ "ยาโมลนูพิราเวียร์" เป็นยาหลักแทน "ฟาวิพิราเวียร์" ให้ผู้ป่วยโควิดในระบบ 1330 หลังได้จาก สาธารณสุข เพิ่มอีก 1.5 แสนเม็ด

2 สิงหาคม 2565 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ในระยะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ สปสช. จัดระบบเฉพาะกิจเป็นระบบเสริมเพื่อช่วยโรงพยาบาลในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ดูแลผู้ป่วย

 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา สปสช. ได้เปิดให้ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่ได้รับการดูแล สามารถโทรเข้าสายด่วน 1330 เพื่อแจ้งอาการซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการประเมินอาการในเบื้องต้น หากเข้าข่ายที่จะได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ก็จะดำเนินการจัดส่งยาให้ถึงบ้าน

โดยผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 23-30 ก.ค. ที่ผ่านมา สปสช. ได้จัดส่งยาฟาวิพิราเวียร์แก่ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยาแล้วทั้งสิ้น 1,941 เคส เตรียมนำจ่าย 361 เคส และอยู่ระหว่างการจัดส่งอีก 93 เคส ขณะที่เคสที่จัดส่งไม่สำเร็จมีจำนวน 25 เคส ส่วนมากจัดส่งไม่สำเร็จเพราะผู้ป่วยปิดบ้าน บริษัทหยุด ติดต่อผู้รับไม่ได้ และผู้รับปฏิเสธการรับ

 

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับ สปสช. ซึ่งรอบแรกได้รับ 40,000 เม็ด และครั้งที่ 2 ได้รับอีก 100,000 เม็ดจากโรงพยาบาลราชวิถี และวานนี้ (1 ส.ค.2565) กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดสรรยาโมลนูพิราเวียร์มาให้ สปสช.เพิ่มอีก 150,000 เม็ด ซึ่งผู้ป่วยที่โทรแจ้งสายด่วน 1330 ที่จำเป็นต้องได้รับยาในช่วงต่อไปจะได้รับยาโมลนูพิราเวียร์แทน

 

ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของ RNA ไวรัสและลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงเช่นเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ โดยได้รับการอนุมัติจากศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ให้ใช้ในไทยแล้ว

"ตามแนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกรมการแพทย์ สปสช.จะจัดส่งยาโมลนูพิราเวียร์ให้แก่ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงแต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญหรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง

 

โดยเน้นในกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ผู้มีภาวะอ้วน ผู้ป่วยตับแข็ง ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่มี CD. cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. แต่จะไม่ใช้ยานี้กับหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร