KEY
POINTS
องค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก (World Stroke Organization: WSO) ได้กำหนดให้วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็น วันหลอดเลือดสมองโลก ประเด็นในปี 2568 คือ Every Minute Counts: Let’s Act Together and #ActFAST for World Stroke Day ทุกนาทีมีค่า สังเกตไว ช่วยได้ทัน #ActFAST
นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า วันโรคหลอดเลือดสมองโลก มุ่งเน้นให้ประชาชนสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสังเกตสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก พบว่า ทุก 1 นาที มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ 30 คน และโดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คน จะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต
สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (HDC) ปี 2567 พบผู้ป่วยสะสมโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 363,688 คน รายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย พ.ศ. 2566 พบผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดในสมองจำนวน 37,947 คน โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะฉุกเฉิน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนและภาคีเครือข่ายร่วมสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสังเกตสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว
นายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทอย่างเฉียบพลัน สามารถสังเกตอาการ หรือ สัญญาณเตือนได้ด้วยตนเองตามหลักการ B.E.F.A.S.T ดังนี้
ทั้งนี้ โรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 90 สามารถป้องกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด เค็มจัด ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันหรือสะสม 150 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ประชาชนที่มีโรคประจำตัวควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนมีความตระหนักรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง มีความระมัดระวังในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน สังเกตอาการหรือสัญญาณเตือนของโรคและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วจะทำให้เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความพิการ
สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสามารถดูแลตนเองด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และทำกายภาพบำบัดหรือออกกำลังกายเพื่อช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่น ลดปัญหาด้านการทรงตัวและการเดิน การกายภาพบำบัด 3 – 6 เดือนแรกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการหมั่นฝึกฝน เพื่อให้ร่างกายกลับมาฟื้นฟู ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด โดยปรับให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกาย ระดับการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล
หากอาการไม่มาก ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำกายภาพอย่างต่อเนื่องและถูกต้องก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ การเข้ารับการรักษา รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง และปรับพฤติกรรมจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำได้