วันหลอดเลือดสมองโลก 2568 สังเกตสัญญาณเตือน B.E.F.A.S.T 

29 ต.ค. 2568 | 04:55 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ต.ค. 2568 | 05:00 น.

รณรงค์วันหลอดเลือดสมองโลก 2568 กรมควบคุมโรค เปิดตัวเลขผู้ป่วยสะสมโรคหลอดเลือดสมองทะลุ 3 แสนราย เสียชีวิตกว่า 3.7 หมื่นราย/ปี เร่งสร้างการรับรู้ แนะสังเกตอาการ 6 ข้อด้วยตนเอง ปรับพฤติกรรมลดเสี่ยง

KEY

POINTS

  • วันหลอดเลือดสมองโลก 29 ตุลาคม 2568 รณรงค์ภายใต้แนวคิด "ทุกนาทีมีค่า สังเกตไว ช่วยได้ทัน" เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายของโรค
  • แนะให้สังเกตสัญญาณเตือนด้วยหลัก B.E.F.A.S.T คือ B-เสียการทรงตัว, E-ตาพร่ามัว, F-ใบหน้าเบี้ยว, A-แขนขาอ่อนแรง, S-พูดไม่ชัด และ T-รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
  • ย้ำความสำคัญของเวลา หากพบอาการต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดภายใน 4.5 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงเสียชีวิตหรือเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต

องค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก (World Stroke Organization: WSO) ได้กำหนดให้วันที่ 29 ตุลาคมของทุกปี เป็น วันหลอดเลือดสมองโลก ประเด็นในปี 2568 คือ Every Minute Counts: Let’s Act Together and #ActFAST for World Stroke Day ทุกนาทีมีค่า สังเกตไว ช่วยได้ทัน #ActFAST

นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า วันโรคหลอดเลือดสมองโลก มุ่งเน้นให้ประชาชนสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสังเกตสัญญาณเตือนโรคหลอดเลือดสมองและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลจากองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก พบว่า ทุก 1 นาที มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ 30 คน และโดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คน จะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต

สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (HDC) ปี 2567 พบผู้ป่วยสะสมโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 363,688 คน รายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย พ.ศ. 2566 พบผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดในสมองจำนวน 37,947 คน โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะฉุกเฉิน จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนและภาคีเครือข่ายร่วมสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสังเกตสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว 

นายแพทย์มณเฑียร คณาสวัสดิ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค

นายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทอย่างเฉียบพลัน สามารถสังเกตอาการ หรือ สัญญาณเตือนได้ด้วยตนเองตามหลักการ B.E.F.A.S.T ดังนี้ 

  • B (Balance) เสียการทรงตัว วิงเวียน เดินเซ 
  • E (Eye) มองไม่เห็น มีอาการมองเห็นภาพซ้อน 
  • F (Face) ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยวเฉียบพลัน 
  • A (Arms) อาการแขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก 
  • S (Speech) ผู้ป่วยจะมีอาการพูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ เหมือนลิ้นคับปาก 
  • T (Time) หากมีอาการ โทร. 1669 นำผู้ป่วยที่สงสัยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็วภายใน 4 ชั่วโมง 30 นาที หากไปพบแพทย์ช้าอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรืออาจจะกลายเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ 

ทั้งนี้ โรคหลอดเลือดสมองร้อยละ 90 สามารถป้องกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด เค็มจัด ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันหรือสะสม 150 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ประชาชนที่มีโรคประจำตัวควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ

นายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค

นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนมีความตระหนักรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง มีความระมัดระวังในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน สังเกตอาการหรือสัญญาณเตือนของโรคและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วจะทำให้เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความพิการ

สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสามารถดูแลตนเองด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และทำกายภาพบำบัดหรือออกกำลังกายเพื่อช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่น ลดปัญหาด้านการทรงตัวและการเดิน การกายภาพบำบัด 3 – 6 เดือนแรกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการหมั่นฝึกฝน เพื่อให้ร่างกายกลับมาฟื้นฟู ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด โดยปรับให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกาย ระดับการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล

หากอาการไม่มาก ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำกายภาพอย่างต่อเนื่องและถูกต้องก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ การเข้ารับการรักษา รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง และปรับพฤติกรรมจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำได้

วันหลอดเลือดสมองโลก 2568 สังเกตสัญญาณเตือน B.E.F.A.S.T