KEY
POINTS
นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในยุคที่ความงามได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทย และ “ความสวยรอไม่ได้” ทุกอย่างจึงต้องเร็ว เช่น สิวยุบไว ผิวใสทันใจ แผลต้องหายก่อนถึงวันสำคัญ คำว่า “รอได้” ดูเหมือนจะไม่เข้ากับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันอีกต่อไป หลายคนจึงคุ้นเคยกับทางลัดด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะ เพราะเคยได้ยินกันมาว่า “กินแล้วดี” และ “ทาแล้วหายเร็ว”
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความงามไปโดยไม่รู้ตัว และกำลังทำให้โรคผิวหนังที่ควรรักษาง่าย กลายเป็นเรื่องยาก แพง และต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น สิวที่เคยรักษาง่าย กลับต้องใช้เวลานานขึ้น
แผลติดเชื้อเล็ก ๆ หลังทำหัตถการกลายเป็นแผลที่ดื้อยา การรักษาไม่ใช่เพราะโรครุนแรงขึ้น แต่เพราะเชื้อแบคทีเรียได้เรียนรู้จากการใช้ยาที่มากเกินความจำเป็น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance: AMR)
โดยภาวะที่เชื้อแบคทีเรียจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่เคยใช้ได้ผล ทำให้การติดเชื้อรักษายากขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้นตามมา แต่ AMR ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่โต หากเกิดจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น การสื่อสารจึงเปรียบเสมือน “วัคซีนทางสังคม” ที่จำเป็นที่สุดในการหยุดยั้งปัญหานี้ โดวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะทำงาน ได้พยายามสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) ผลักดันโครงการ “ดื้อยาหยุดได้” เพื่อยกระดับ Health Literacy ให้ประชาชนเข้าใจการใช้ยาอย่างถูกต้อง
พร้อมสร้างกาารู้เท่าทันอาการที่ควรหรือไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ และสามารถตั้งคำถามกับกระบวนการรักษาได้อย่างมีเหตุผล ภายใต้เป้าหมายเดียวกันในการเปลี่ยนจากความเชื่อเดิม ๆ ไปสู่พฤติกรรมการใช้ยาที่ปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น
ล่าสุดได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการหัวข้อ “หยุดดื้อยา หยุดท้าทายระบบ ร่วมกันสร้างมุมมองใหม่ด้านการใช้ยาในสังคมไทย” ที่ถูกนำเสนอผ่านการหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาถ่ายทอดเพื่อเปิดพื้นที่ให้สังคมได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ว่าปัญหาเชื้อดื้อยาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน และทำไมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้
นพ.วีรวัต กล่าวว่า วงการความงามกำลังกลายเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงใหม่ของปัญหาเชื้อดื้อยาในสังคมไทย จาก 2 ปัจจัยหลักร่วมกัน ได้แก่ ความไม่รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลของประชาชน และค่านิยมความงามที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว เพราะ “ปัญหาเชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีปัจจัยสำคัญหลายอย่าง”
กลไกสำคัญหนึ่งก็คือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้บริโภคที่มองว่ายาปฏิชีวนะเป็น “ทางลัด” สิวอักเสบขึ้นเมื่อไรก็กินยาตัวเดิมทุกครั้ง ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกิน ทา หรือฉีด แม้ไม่จำเป็นบางครั้งใช้ยาในขนาดต่ำ ใช้ไม่ครบระยะหรือ ใช้ซ้ำ ๆ เลือกสกินแคร์ที่ผสมสารฆ่าเชื้อเพราะรู้สึกว่า “น่าจะปลอดภัยกว่า” หรือ การใช้ยาฆ่าเชื้อหลังทำหัตถการเผื่อไว้กันติดเชื้อ
ทั้งที่แผลส่วนใหญ่เป็นแผลสะอาด พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากความหวังดีต่อตัวเอง/ผู้รับบริการ แต่ในภาพรวมของสังคม มันกำลังเร่งให้เชื้อแบคทีเรีย ถูกคัดเลือกให้แข็งแรงขึ้นจนไม่ตอบสนองต่อยาที่เราเคยพึ่งพา องค์การอนามัยโลกเตือนว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น ไม่ว่าจะเพื่อรักษาหรือความงาม กำลังผลักดันให้โลก เข้าใกล้ยุคที่ “การติดเชื้อธรรมดา” อาจกลับมารักษายากอีกครั้ง
ในทางผิวหนังและความงาม ผลของเชื้อดื้อยาไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาที่ช้าลง แต่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ด้านความสวยงามโดยตรง การติดเชื้อหลังหัตถการ เช่น ฝีหรือการติดเชื้อตามแนวแผลอาจไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไปโดยเฉพาะเมื่อพบเชื้อดื้อยาสำคัญ ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลเป็น หรือทิ้งรอยถาวรไว้บนผิว
ในหัตถการที่ทำลึกหรือมีวัสดุแทรก เช่น ฟิลเลอร์หรือ biostimulator หากมีเชื้อดื้อยาแฝงอยู่ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มขึ้นบางรายจำเป็นต้องใช้ยาที่แรงและราคาแพงขึ้นหรือแม้กระทั่งต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไขปัญหาสำหรับการรักษาสิวเองก็เช่นกันเชื้อ Cutibacterium acnes ในหลายพื้นที่เริ่มแสดงการดื้อยาทำให้การใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ
ไม่เพียงไม่คุ้มค่าแต่ยังอาจเร่งการดื้อยา เมื่อการใช้ยาปฏิชีวนะในคลินิกเสริมความงามแพร่หลายเกินไป ผลกระทบก็ไม่ได้หยุดแค่คนไข้รายนั้น แต่เชื้อดื้อยาสามารถแพร่กระจายสู่ชุมชน และย้อนกลับมา สร้างภาระให้โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขโดยรวม
นพ.วีรวัต กล่าวว่า ในทางการแพทย์ผิวหนังอาการจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ สิวทั่วไป ผิวระคายเคืองหลังหัตถการ หรือผื่นแพ้สามารถดูแลได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยกว่าและยั่งยืนกว่า การรักษาที่ดีจึงไม่ใช่การเร่งผลลัพธ์ให้เร็วที่สุด
แต่คือการดูแลผิวให้กลับสู่สมดุล เคารพระบบจุลินทรีย์ดีบนผิว (Skin Microbiome) และให้เวลาร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างเหมาะสม ความรู้ตรงนี้เองคือ “เมกอัพชิ้นสำคัญ” ที่เรียกว่า Health Literacy
“เมื่อเรารู้จักยามากขึ้นเราจะกล้าถามแพทย์ กล้าคุยกับเภสัชกร กล้าตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะกับตัวเองจริง ๆ ความงามจึงไม่ใช่เรื่องของการตามกระแสแต่เป็นการเลือกด้วยเหตุผลเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเราและไม่ทิ้งภาระไว้ให้สังคม เพราะการสื่อสารที่ดีเปรียบเสมือนวัคซีนของสังคม โครงการ “ดื้อยาหยุดได้” เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะเปลี่ยนความเชื่อเดิม ๆ ให้กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ปลอดภัยกว่า”
ไม่ใช่เพื่อห้ามใช้ยาแต่เพื่อใช้ยา “เท่าที่จำเป็น และถูกจังหวะ” เพราะเมื่อเราทุกคนรู้เท่าทัน เชื้อดื้อยาก็ไม่มีพื้นที่เติบโต และความงาม…ก็จะไม่เป็นเพียงความสวยชั่วคราวแต่เป็นความงามที่ดูแลทั้งตัวเองและสังคมไปพร้อมกัน