เตือนภัยสายบิวตี้ ระวัง! ยาปฏิชีวนะ ทำเชื้อดื้อยา หน้าพัง-รักษาแพง

30 ธ.ค. 2568 | 04:46 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ธ.ค. 2568 | 04:56 น.

แพทย์สถาบันโรคผิวหนังเตือนพฤติกรรม "สวยรอไม่ได้" เร่งใช้ยาปฏิชีวนะรักษาสิว-หลังทำหัตถการเกินจำเป็น เสี่ยงทำเชื้อดื้อยา (AMR) จนแผลหายช้า-เกิดแผลเป็นถาวร ทำการรักษาซับซ้อนและแพงขึ้น กระทบระบบสาธารณสุข

KEY

POINTS

  • การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อในวงการความงาม ทั้งการกิน ทา หรือฉีด เพื่อรักษาสิวหรือป้องกันการติดเชื้อหลังทำหัตถการ เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาเชื้อดื้อยา
  • ปัญหาเชื้อดื้อยาส่งผลให้การรักษาโรคผิวหนังที่เคยง่ายกลายเป็นเรื่องยากและซับซ้อน ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลเป็นถาวร และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงขึ้น
  • การใช้ยาปฏิชีวนะเกินความจำเป็นอาจทำให้การติดเชื้อธรรมดากลับมารักษายากอีกครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแค่รายบุคคล แต่ยังเป็นภาระต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม

นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในยุคที่ความงามได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนไทย และ “ความสวยรอไม่ได้” ทุกอย่างจึงต้องเร็ว เช่น สิวยุบไว ผิวใสทันใจ แผลต้องหายก่อนถึงวันสำคัญ คำว่า “รอได้” ดูเหมือนจะไม่เข้ากับวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันอีกต่อไป หลายคนจึงคุ้นเคยกับทางลัดด้วยการใช้ยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะ เพราะเคยได้ยินกันมาว่า “กินแล้วดี” และ “ทาแล้วหายเร็ว” 

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมความงามไปโดยไม่รู้ตัว และกำลังทำให้โรคผิวหนังที่ควรรักษาง่าย กลายเป็นเรื่องยาก แพง และต้องใช้การรักษาที่ซับซ้อนมากขึ้น สิวที่เคยรักษาง่าย กลับต้องใช้เวลานานขึ้น 

แผลติดเชื้อเล็ก ๆ หลังทำหัตถการกลายเป็นแผลที่ดื้อยา การรักษาไม่ใช่เพราะโรครุนแรงขึ้น แต่เพราะเชื้อแบคทีเรียได้เรียนรู้จากการใช้ยาที่มากเกินความจำเป็น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance: AMR) 

โดยภาวะที่เชื้อแบคทีเรียจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่เคยใช้ได้ผล ทำให้การติดเชื้อรักษายากขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงขึ้นตามมา  แต่ AMR ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่โต หากเกิดจากพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน

เตือนภัยสายบิวตี้ ระวัง! ยาปฏิชีวนะ ทำเชื้อดื้อยา หน้าพัง-รักษาแพง

ดังนั้น การสื่อสารจึงเปรียบเสมือน “วัคซีนทางสังคม” ที่จำเป็นที่สุดในการหยุดยั้งปัญหานี้ โดวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะทำงาน ได้พยายามสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) ผลักดันโครงการ “ดื้อยาหยุดได้” เพื่อยกระดับ Health Literacy ให้ประชาชนเข้าใจการใช้ยาอย่างถูกต้อง 

พร้อมสร้างกาารู้เท่าทันอาการที่ควรหรือไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ และสามารถตั้งคำถามกับกระบวนการรักษาได้อย่างมีเหตุผล ภายใต้เป้าหมายเดียวกันในการเปลี่ยนจากความเชื่อเดิม ๆ ไปสู่พฤติกรรมการใช้ยาที่ปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น 

ล่าสุดได้จัดกิจกรรมเสวนาวิชาการหัวข้อ “หยุดดื้อยา หยุดท้าทายระบบ ร่วมกันสร้างมุมมองใหม่ด้านการใช้ยาในสังคมไทย” ที่ถูกนำเสนอผ่านการหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมาถ่ายทอดเพื่อเปิดพื้นที่ให้สังคมได้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ว่าปัญหาเชื้อดื้อยาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากน้อยแค่ไหน และทำไมการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้

เตือนภัยสายบิวตี้ ระวัง! ยาปฏิชีวนะ ทำเชื้อดื้อยา หน้าพัง-รักษาแพง

นพ.วีรวัต กล่าวว่า วงการความงามกำลังกลายเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงใหม่ของปัญหาเชื้อดื้อยาในสังคมไทย จาก 2 ปัจจัยหลักร่วมกัน ได้แก่ ความไม่รู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลของประชาชน และค่านิยมความงามที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว เพราะ “ปัญหาเชื้อดื้อยาในประเทศไทยมีปัจจัยสำคัญหลายอย่าง” 

กลไกสำคัญหนึ่งก็คือ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้บริโภคที่มองว่ายาปฏิชีวนะเป็น “ทางลัด” สิวอักเสบขึ้นเมื่อไรก็กินยาตัวเดิมทุกครั้ง ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งกิน ทา หรือฉีด แม้ไม่จำเป็นบางครั้งใช้ยาในขนาดต่ำ ใช้ไม่ครบระยะหรือ  ใช้ซ้ำ ๆ เลือกสกินแคร์ที่ผสมสารฆ่าเชื้อเพราะรู้สึกว่า “น่าจะปลอดภัยกว่า” หรือ การใช้ยาฆ่าเชื้อหลังทำหัตถการเผื่อไว้กันติดเชื้อ 

ทั้งที่แผลส่วนใหญ่เป็นแผลสะอาด พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเกิดจากความหวังดีต่อตัวเอง/ผู้รับบริการ แต่ในภาพรวมของสังคม มันกำลังเร่งให้เชื้อแบคทีเรีย ถูกคัดเลือกให้แข็งแรงขึ้นจนไม่ตอบสนองต่อยาที่เราเคยพึ่งพา องค์การอนามัยโลกเตือนว่าการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น ไม่ว่าจะเพื่อรักษาหรือความงาม กำลังผลักดันให้โลก  เข้าใกล้ยุคที่ “การติดเชื้อธรรมดา” อาจกลับมารักษายากอีกครั้ง

ผลกระทบที่เริ่มเห็นชัด

ในทางผิวหนังและความงาม ผลของเชื้อดื้อยาไม่ได้หยุดอยู่แค่การรักษาที่ช้าลง แต่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ด้านความสวยงามโดยตรง การติดเชื้อหลังหัตถการ เช่น ฝีหรือการติดเชื้อตามแนวแผลอาจไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไปโดยเฉพาะเมื่อพบเชื้อดื้อยาสำคัญ ทำให้แผลหายช้า เกิดแผลเป็น หรือทิ้งรอยถาวรไว้บนผิว 

เตือนภัยสายบิวตี้ ระวัง! ยาปฏิชีวนะ ทำเชื้อดื้อยา หน้าพัง-รักษาแพง

ในหัตถการที่ทำลึกหรือมีวัสดุแทรก เช่น ฟิลเลอร์หรือ biostimulator หากมีเชื้อดื้อยาแฝงอยู่ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเรื้อรังจะเพิ่มขึ้นบางรายจำเป็นต้องใช้ยาที่แรงและราคาแพงขึ้นหรือแม้กระทั่งต้องผ่าตัดซ้ำเพื่อแก้ไขปัญหาสำหรับการรักษาสิวเองก็เช่นกันเชื้อ Cutibacterium acnes ในหลายพื้นที่เริ่มแสดงการดื้อยาทำให้การใช้ยาปฏิชีวนะเดี่ยว ๆ 

ไม่เพียงไม่คุ้มค่าแต่ยังอาจเร่งการดื้อยา เมื่อการใช้ยาปฏิชีวนะในคลินิกเสริมความงามแพร่หลายเกินไป ผลกระทบก็ไม่ได้หยุดแค่คนไข้รายนั้น แต่เชื้อดื้อยาสามารถแพร่กระจายสู่ชุมชน และย้อนกลับมา  สร้างภาระให้โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขโดยรวม

นพ.วีรวัต กล่าวว่า ในทางการแพทย์ผิวหนังอาการจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ สิวทั่วไป ผิวระคายเคืองหลังหัตถการ หรือผื่นแพ้สามารถดูแลได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัยกว่าและยั่งยืนกว่า การรักษาที่ดีจึงไม่ใช่การเร่งผลลัพธ์ให้เร็วที่สุด 

เตือนภัยสายบิวตี้ ระวัง! ยาปฏิชีวนะ ทำเชื้อดื้อยา หน้าพัง-รักษาแพง

แต่คือการดูแลผิวให้กลับสู่สมดุล เคารพระบบจุลินทรีย์ดีบนผิว (Skin Microbiome) และให้เวลาร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างเหมาะสม ความรู้ตรงนี้เองคือ “เมกอัพชิ้นสำคัญ” ที่เรียกว่า Health Literacy

“เมื่อเรารู้จักยามากขึ้นเราจะกล้าถามแพทย์ กล้าคุยกับเภสัชกร กล้าตัดสินใจเลือกการรักษาที่เหมาะกับตัวเองจริง ๆ ความงามจึงไม่ใช่เรื่องของการตามกระแสแต่เป็นการเลือกด้วยเหตุผลเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเราและไม่ทิ้งภาระไว้ให้สังคม เพราะการสื่อสารที่ดีเปรียบเสมือนวัคซีนของสังคม โครงการ “ดื้อยาหยุดได้” เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะเปลี่ยนความเชื่อเดิม ๆ ให้กลายเป็นความเข้าใจใหม่ที่ปลอดภัยกว่า” 

ไม่ใช่เพื่อห้ามใช้ยาแต่เพื่อใช้ยา “เท่าที่จำเป็น และถูกจังหวะ” เพราะเมื่อเราทุกคนรู้เท่าทัน เชื้อดื้อยาก็ไม่มีพื้นที่เติบโต และความงาม…ก็จะไม่เป็นเพียงความสวยชั่วคราวแต่เป็นความงามที่ดูแลทั้งตัวเองและสังคมไปพร้อมกัน