เจาะลึก “เชื้อดื้อยา” วิกฤตเงาที่โลกมองข้าม แต่กำลังคร่าชีวิตทุก 3 วินาที

29 พ.ย. 2568 | 22:12 น.

ผศ.นพ.พิสนธิ์ เตือนโลกกำลังเข้าสู่ “ยุคหลังยาปฏิชีวนะ” คาดปี 2593 มีผู้เสียชีวิต 10 ล้านคนต่อปี ไทยพบเคสรักษาไม่ได้ ยาทางเลือกสุดท้ายเริ่มล้มเหลว เหตุมาจากการใช้ยาผิดวิธี

KEY

POINTS

  • วิกฤตเชื้อดื้อยา (AMR) ถูกคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2593 จะทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกสูงถึง 10 ล้านคนต่อปี หรือเทียบเท่า 1 คนในทุก 3 วินาที โดยกว่าครึ่งหนึ่งจะอยู่ในทวีปเอเชีย
  • สาเหตุหลักเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็น โดยเฉพาะจากความเข้าใจผิดของคนไทยที่มักเรียกยาปฏิชีวนะว่า "ยาแก้อักเสบ" และซื้อยารับประทานเอง
  • สถานการณ์ในประเทศไทยน่าเป็นห่วง โดยพบกรณีผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาที่แม้แต่ยาปฏิชีวนะ "ทางเลือกสุดท้าย" ก็ไม่สามารถรักษาได้ ทำให้การติดเชื้อทั่วไปอาจกลับมาเป็นอันตรายถึงชีวิต

ในขณะที่โลกกำลังเร่งรับมือกับโรคระบาดใหม่ เทคโนโลยีการแพทย์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และนวัตกรรมสุขภาพถูกยกระดับขึ้นทุกวัน “ภัยเงียบ” อีกชนิดหนึ่งกลับกำลังก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ การดื้อยาต้านจุลชีพ (Antimicrobial Resistance : AMR) ซึ่งอาจกลายเป็นหนึ่งในวิกฤตด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดของมนุษยชาติในศตวรรษนี้

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างความเข้มแข็งประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) ระบุว่า ภายในปี พ.ศ. 2593 การติดเชื้อดื้อยามีแนวโน้มทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 10 ล้านคนต่อปี หรือคิดเป็น 1 คนในทุก 3 วินาที โดยกว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทย

สถานการณ์นี้หมายความว่า โลกอาจกำลังก้าวเข้าสู่ ยุคหลังยาปฏิชีวนะ (Post-antibiotic era) ที่แม้แต่การติดเชื้อธรรมดา เช่น แผลติดเชื้อหรือทางเดินปัสสาวะอักเสบ อาจกลายเป็นโรคร้ายแรงและคร่าชีวิตผู้คนได้อีกครั้ง

ทำความเข้าใจ “เชื้อ–ยา–การดื้อยา” ก่อนจะสายเกินแก้

การดื้อยาต้านจุลชีพเกิดจากเชื้อโรคหลายประเภท ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่รุนแรงและทวีความเร็วที่สุดในปัจจุบัน คือ การดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรีย (Antibiotic Resistance)

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) มีหน้าที่กำจัด แบคทีเรีย เท่านั้น ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อจากไวรัสได้ เช่น ไข้หวัด หรือโควิด-19 แต่ในทางปฏิบัติ กลับมีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างกว้างขวางโดยไม่แยกว่าเป็นเชื้อชนิดใด ส่งผลให้แบคทีเรียที่รอดชีวิตเกิดการกลายพันธุ์ (Mutation) และพัฒนาความสามารถในการทนต่อยา จนกลายเป็น เชื้อดื้อยาหลายขนาน (Multidrug-resistant : MDR) หรือรุนแรงถึงขั้น ดื้อยาทุกกลุ่ม (Pan-resistant)

สัญญาณเตือนจาก รพ.ไทย  เมื่อ “ยาตัวสุดท้าย” ก็เอาไม่อยู่

ประเทศไทยเริ่มเห็นผลกระทบจาก AMR อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านข้อมูลทางคลินิกที่น่าตกใจ หนึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นคือ ผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อในกระแสเลือด (Bloodstream infection) จากเชื้อในกลุ่ม Enterobacteriaceae ที่ดื้อต่อยากลุ่ม Carbapenem (CRE – Carbapenem-Resistant Enterobacteriaceae) ซึ่งถือเป็นเชื้อดื้อยาระดับสูง ในจำนวนผู้ป่วย 4 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และอีกรายอยู่ในภาวะวิกฤต แม้จะได้รับ โคลิสติน (Colistin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะทางเลือกสุดท้ายแล้วก็ตาม

ขณะเดียวกัน มีรายงานผู้ป่วยที่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจาก Pseudomonas aeruginosa ซึ่งผลทดสอบความไวต่อยา (Antibiotic Susceptibility Test) พบว่าเชื้อดื้อต่อยาปฏิชีวนะเกือบ 30 ชนิด ที่มีใช้ในประเทศไทย และ ไม่พบยาที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการรักษา

ส่วนเชื้อ Escherichia coli (E. coli) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในสตรี กลับพบว่า ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานส่วนใหญ่ที่มีในระบบผู้ป่วยนอก เริ่มสูญเสียประสิทธิภาพลงอย่างชัดเจน ทำให้ทางเลือกในการรักษาเหลือเพียง “ยาฉีด” ที่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น

เงินก็ช่วยไม่ได้ เมื่อยาไร้พลัง

ผลกระทบของการดื้อยาไม่ได้สะท้อนแค่ในมิติของชีวิต แต่ยังกลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจในระดับครัวเรือน มีกรณีผู้ป่วยสูงอายุที่ติดเชื้อดื้อยาหนัก ครอบครัวต้องจ่ายเงินกว่า 25,000 บาท เพื่อซื้อ ไทเกไซคลิน (Tigecycline) ซึ่งเป็นยาทางเลือกสุดท้าย แต่สุดท้ายผู้ป่วยกลับเสียชีวิตในเวลาไม่นาน

อีกกรณีหนึ่งเป็นเด็กที่ได้รับยาปฏิชีวนะถึง 38 ครั้ง ภายในเวลา 3 ปี จนเกิดการติดเชื้อดื้อยาแบบเรื้อรัง และต้องเสียค่ารักษารวมกว่า 1 ล้านบาท

เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดว่า“การมีเงิน ไม่ได้หมายถึงการมีทางรอด หากโลกเข้าสู่ยุคหลังยาปฏิชีวนะ”

พฤติกรรมผิดซ้ำซาก จุดชนวนวิกฤตเชื้อดื้อยา

สาเหตุหลักของ AMR มาจาก การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างผิดวิธีและเกินความจำเป็น โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เช่น

  • เรียกยาปฏิชีวนะว่า “ยาแก้อักเสบ”
  • ใช้คำว่า “ยาฆ่าเชื้อ” แบบไม่แยกว่าเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส
  • ขอ “ยาชนิดแรง” หรือ ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์กว้าง (Broad-spectrum antibiotics)
  • หยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น ไม่รับประทานให้ครบกำหนด
  • ซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง โดยไม่ผ่านการวินิจฉัยทางการแพทย์

การกระทำเหล่านี้เปรียบเสมือน “การใช้ปืนกลแทนปืนสไนเปอร์” ทำลายทั้งเชื้อดีและเชื้อร้าย กระทบสมดุลของ ไมโครไบโอม (Microbiome) ในร่างกาย เปิดทางให้เชื้อดื้อยาครองพื้นที่ในที่สุด

ในบางกรณี การทำลายจุลชีพดีอย่างหนัก ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงจาก Clostridioides difficile ซึ่งอาจต้องรักษาด้วยการ ปลูกถ่ายจุลชีพจากอุจจาระ (Fecal Microbiota Transplantation – FMT) เพื่อฟื้นฟูสมดุลในลำไส้

ใช้ยามาก = ดื้อยามาก บทเรียนจาก “สวีเดน vs ไทย”

ข้อมูลเปรียบเทียบอัตราการดื้อยาของเชื้อ Streptococcus pneumoniae ระหว่างประเทศที่ควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเข้มงวดกับไทย พบว่า

  • สวีเดน ดื้อยากลุ่มเพนิซิลลิน 7.9%
  • ไทย ดื้อยากลุ่มเดียวกันสูงถึง 52%
  • กลุ่มยาอื่น ๆ ไทยมีอัตราดื้อสูงถึง 64%

ขณะที่ประเทศอย่างสวีเดนและสวิตเซอร์แลนด์ แพทย์มักจ่ายเพียงยาลดไข้หรือยาบรรเทาตามอาการสำหรับโรคทั่วไป และหลีกเลี่ยงยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า “ยิ่งใช้ยามาก เชื้อยิ่งวิวัฒน์เร็ว”

6 ข้อปฏิบัติ หยุดโลกจากยุคไร้ยา

เพื่อชะลอวิกฤตนี้ ประชาชนสามารถเริ่มต้นได้ทันทีจาก 6 หลักสำคัญ

  1. ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง
  2. ถามแพทย์เสมอว่า “เป็นเชื้อแบคทีเรียหรือไม่”
  3. ปฏิเสธยาปฏิชีวนะ หากไม่จำเป็น
  4. ขอรักษาตามอาการก่อนในรายไม่รุนแรง
  5. ไม่ร้องขอยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์กว้าง
  6. หากจำเป็นต้องใช้ ต้องกินให้ครบตามแพทย์สั่ง

การดื้อยาต้านจุลชีพไม่ใช่เรื่องของแพทย์หรือโรงพยาบาลเท่านั้น แต่คือ วิกฤตร่วมของมนุษยชาติ ที่เกิดจากทางเลือกเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลกทุกเม็ดยาที่ถูกใช้โดยไม่จำเป็น อาจเป็นอีกก้าวที่พาโลกเข้าใกล้วันที่ “ยาตัวสุดท้าย” สูญเสียพลังในการรักษาชีวิตมนุษย์อย่างถาวร