เผาทำลายของกลางผลิตภัณฑ์สุขภาพผิด กม. 40 ตัน มูลค่า 250 ล้านบาท

25 ธันวาคม 2568 ผศ.ดร.อัครนันท์  อริยศรีพงษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข โดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 ปฏิบัติงานเชิงรุกในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายอย่างเข้มงวด

หลังจากการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายสิ้นสุดแล้ว ของกลางจะตกเป็นของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ลักลอบผลิตหรือนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีฉลากภาษาไทยและเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ จึงต้องนำมาเผาทำลาย

ในครั้งนี้มีของกลางจำนวนที่นำมาเผาทำลายทั้งสิ้น 1,967 รายการ จาก 202 คดี แบ่งเป็น เครื่องสำอาง 88 คดี อาหาร 63 คดี ยา 48 คดี เครื่องมือแพทย์ 2 คดี และวัตถุอันตราย 1 คดี เช่น คดีคอนแทคเลนส์ ยี่ห้อ Kilala คดีโรงงานผลิตยาแก้ไอปลอมและไม่ขึ้นทะเบียน คดีอาหารลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ คดีลักลอบนำเข้าเครื่องสำอางหลายยี่ห้อ เป็นต้น

เภสัชกรหญิงสุภัทรา  บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การเผาทำลายของกลางในวันนี้ ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ อย. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะร่วมกันถอนรากถอนโคนสินค้าผิดกฎหมายอย่างจริงจัง เราต้องการให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า ของกลางทั้งหมดที่ตรวจยึดได้จะถูกกำจัดอย่างถูกวิธี ไม่มีการนำกลับมาหมุนเวียนจำหน่ายซ้ำ เพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ

ด้านพล.ต.ท.ณัฐศักดิ์  เชาวนาศัย ผบช.ก. กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการจำหน่ายในท้องตลาด จึงขอเน้นย้ำกับผู้ผลิต นำเข้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งหลายว่า อย่านำสินค้าที่ผิดกฎหมาย หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพมาหลอกลวงจำหน่ายแก่ผู้บริโภคโดยเด็ดขาด หากพบการฝ่าฝืนกฎหมาย บก.ปคบ. จะร่วมกับ อย. ปฏิบัติการเชิงรุกปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด

ขอให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังของภาครัฐ หากพบจะดำเนินการทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ไม่ปล่อยให้ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมายยังคงอยู่ในสังคมไทย