KEY
POINTS
28 พฤศจิกายน 2568 นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ตอนหนึ่งว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ จ.สงขลา สะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดทำแผนจัดการภัยพิบัติระดับพื้นที่หรือชุมชนในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย
แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีแผนการจัดการภัยพิบัติระดับชาติ ตลอดจนแผนของกระทรวงหรือหน่วยงานต่าง ๆ แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นก็ชัดเจนว่า คำตอบสุดท้ายของการจัดการจะต้องอยู่ในระดับพื้นที่หรือชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อม การอพยพ การซักซ้อมเพื่อเผชิญเหตุ ฯลฯ นั่นเพราะชุมชนมีความเข้าใจและรู้จักตัวเองดีที่สุด
นพ.สุเทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเรื่องการจัดทำแผนรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชนมาแล้วหลายพื้นที่ อาทิ จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ ฯลฯ โดยสนับสนุนให้ชุมชนมีแผนการจัดการที่ตั้งต้นมาจากข้อมูลของตนเองซึ่งทำให้ชุมชนตอบสนองต่อภัยพิบัติได้รวดเร็วและพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ภายในเดือนธันวาคม 2568 สช.จะเป็นเจ้าภาพชักชวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสานพลังถอดบทเรียนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ จ.สงขลา เพื่อวางแผนไปข้างหน้าและออกแบบการทำงานร่วมกันตลอดปี 2569 พร้อมทั้งผลักดันให้ชุมชนจัดทำแผนจัดการภัยพิบัติระดับพื้นที่หรือชุมชนเพิ่มมากขึ้น
การทำแผนชุมชนจะทำให้เขารู้ข้อมูลพื้นที่ของตัวเอง มีประชากรเท่าไร กลุ่มเปราะบางอยู่ที่ไหน บ้านใครเป็นอย่างไร มีทรัพยากรอะไรอยู่ แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา เช่น น้ำท่วม ข้อมูลที่มีก็จะทำให้เขาตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นว่าจะต้องอพยพไปจุดไหน จะมีระบบอาหาร น้ำ หรือทีมที่จะช่วยอย่างไร" นพ.สุเทพ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล คณะทำงานพัฒนาประเด็นระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤตซ้อนวิกฤตซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะที่เข้าสู่การพิจารณาภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 กล่าวว่า ที่ผ่านมามักจะมีคนพูดว่าประเทศไทยมีกลไก กฎระเบียบมากมายแต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกลับกลายมาเป็นอุปสรรคหรือใช้การไม่ได้จริง
ดังนั้น สมัชชาสุขภาพฯ ครั้งที่ 18 จึงได้มุ่งเน้นผลักดันให้เกิดระบบการจัดการในภาวะวิกฤตที่แตกต่างไปจากที่มีอยู่เดิม โดยประเด็นแรกคือ ไม่ได้มองว่าเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤตเชิงเดี่ยว แต่เป็นการมองในลักษณะวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis) ซึ่งจะมีผลกระทบเกิดขึ้นแบบทวีคูณ
ตัวอย่างเช่นสถานการณ์น้ำท่วมอาจไม่ใช่เรื่องของน้ำเพียงอย่างเดียว แต่งอาจเป็นความล้มเหลวในเชิงสถาบันทางการเมืองทับซ้อนไปกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนทำให้กลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ทำให้การประเมินหรือคาดการณ์ผิดพลาด
นอกจากนี้ระดับการจัดการดังกล่าว จะมุ่งเน้นระบบการจัดการที่เชื่อมโยงกัน อย่างเช่นหน่วยงานภาคีที่ไม่ได้มีแค่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แต่ยังมีภาคสาธารณสุข ฝ่ายความมั่นคง ตลอดจนชุมชนท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งทำให้การทำงานจากที่แยกส่วนกันสามารถมาร่วมมือกันจนเกิดผลผลิตแบบใหม่ซึ่งปลายทางของมตินี้ คือ การมองแบบวิกฤตซ้อนวิกฤตจะช่วยให้คาดการณ์สถานการณ์ได้ตรงความเป็นจริงมากขึ้น นำไปสู่การบริหารจัดการที่ดีและลดผลกระทบ ที่สำคัญคือชุมชนสามารถจัดการตัวเองได้ในวิกฤตการณ์ ไม่ต้องรอการสั่งการหรือความช่วยเหลือจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ หลายภาคส่วนยังได้ร่วมแสดงความเห็นชอบถึงกลไกการจัดการตามข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการมีระบบข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงในทุกระดับ การสร้างความเข้มแข็งของระบบการจัดการในระดับพื้นที่ การสื่อสารข้อมูลและเตือนภัยที่เป็นระบบ พร้อมทั้งยังมีข้อเสนอที่ต้องการมุ่งเน้นและให้ความสำคัญ เช่น การดูแลสุขภาพจิตจากภาวะวิกฤต การพัฒนาสร้างคนที่มีทักษะความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ เป็นต้น