KEY
POINTS
นพ.อภิรักษ์ ปาลวัฒน์วิไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลพญาไท 1 ได้มุ่งเน้นพัฒนาการรักษาโรคเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ป่วยที่มีความต้องการบริการที่สูง โดยเฉพาะกลุ่มโรคของผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นสโตรก (Stroke) การผ่าตัดสมอง และภาวะเลือดออกในสมอง โรคกระดูก โรคมะเร็ง
สามารถรักษาโรคยากและซับซ้อนด้วยคุณภาพที่ดีกว่าต่างประเทศในหลายกรณี ด้วยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง โดยมีปริมาณผู้ป่วยนอก (OPD) ประมาณ 1,000 รายต่อวัน ส่วนผู้ป่วยใน (IPD) สามารถรองรับได้ 160 เตียง
“เราไม่ได้มุ่งเน้นเพียงรายได้ แต่มุ่งให้บริการและการรักษาที่ได้มาตรฐานและมีความเชี่ยวชาญในหลายด้าน ยกตัวอย่างที่ผ่านมา เราได้เปิดคลินิกที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของผู้หญิงและปัญหาทางเพศสัมพันธ์ ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงคลินิกพัฒนาการเด็กและการเจริญเติบโต”
จากแผนที่วางไว้ของโรงพยาบาลพญาไท 1 จะมุ่งเน้นในเรื่องของสุขภาพผู้หญิงมากขึ้น เปิดคลินิกพัฒนาการเด็กกับการเจริญเติบโตของเด็กในช่วงปลายปี 2568 นี้ และในปี 2569 จะนำหุ่นยนต์ (Robotics) เข้ามาช่วยในการผ่าตัดกระดูก พัฒนาศักยภาพการรักษากลุ่มโรคต่างๆเพิ่มขึ้น พร้อมเริ่มสร้างตึกใหม่ คาดว่าจะใช้เวลา 3 ปี สำหรับการก่อสร้าง พัฒนาสถานที่ และการรักษาพยาบาล ทั้งขยายเพิ่มให้มากกว่า 200 กว่าเตียง
นพ.อภิรักษ์ กล่าวว่า สัดส่วนคนไข้ของโรงพยาบาลพญาไท 1 เคยเป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติประมาณ 30% และคนไทย 70% แต่สถานการณ์ล่าสุดเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นต่างชาติประมาณ 10% และคนไทย 90% สาเหตุที่ต่างชาติลดลงเกิดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ปัญหาการเดินทางของนักท่องเที่ยว และปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศกับเพื่อนบ้านเกือบทั้งหมด
ส่วนประเภทการรับสิทธิ์การรักษา 1 ใน 3 ของคนไข้ใช้ประกันชีวิต ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว (เติบโต 1-2%) ทำให้ประชาชนต้องใช้ประกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 (Q4/2568) ภาพรวมถือว่าดีขึ้น โดยเฉพาะแผนกมะเร็ง การผ่าตัดทางกระดูก และแผนกเด็ก ซึ่งได้รับความนิยมและความสนใจจากกลุ่มผู้ป่วยมากขึ้น ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับโรคมะเร็ง จากสถิติจะพบความรุนแรงในกลุ่ม "โรคมะเร็งปอด" ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย ด้วยสถิติผู้ป่วยใหม่กว่า 23,000 รายต่อปี และผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 40 รายต่อวัน ซึ่งเป็นผลพวงจากปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM 2.5 ที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและกระตุ้นการกลายพันธุ์ของเซลล์ปอด เป็นสาเหตุหลักเร่งให้เกิดมะเร็ง ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ ประวัติครอบครัว การสัมผัสสารเคมีอันตราย และโรคปอดเรื้อรัง
ทั้งนี้ โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้จัดงานเสวนา "Stop Lung Cancer, Start Early Screening” โดยได้รับการสนับสนุนจาก จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมดเทค (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมชูความก้าวหน้าในการนำเทคโนโลยี "Inspectra CXR" ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้อ่านภาพเอกซเรย์ทรวงอกร่วมกับแพทย์
พร้อมโปรแกรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเชิงลึกด้วย Low-dose CT Scan (LDCT) ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากขึ้น ซึ่งการวินิจฉัยที่รวดเร็วนี้ จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษา เช่น การผ่าตัดส่องกล้อง ตั้งแต่ระยะแรกๆ และมีโอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งได้สูงถึง 90%
รศ. นพ. ศิระ เลาหทัย ศัลยแพทย์ทรวงอก ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้องปอดและต่อมไทมัส โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า โรคมะเร็งปอด 70% ของประชากรไทยมักเจอในระยะ 4 เพราะระยะแรกไม่มีอาการ จุดเล็กที่เห็นมีโอกาสเป็นมะเร็งถึง 20%
หากตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้นได้เร็ว ด้วยการวินิจฉัยที่แม่นยำอย่าง AI และ LDCT จะทำให้มีทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น การผ่าตัดส่องกล้องแบบบาดเจ็บน้อย (MIS - Minimally Invasive Surgery) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน ทำให้อัตราการหายขาดจากโรคมะเร็งปอดระยะแรกสูงมาก
“ปัญหาในไทยคือคนไข้จำนวนมากที่เป็นมะเร็งปอดไม่เคยสูบบุหรี่เลย ทำให้เกณฑ์สากลอาจไม่ครอบคลุม นอกจากนี้ การทำ CT Scan ให้ทุกคนมีค่าใช้จ่ายสูงมากจนรัฐบาลไม่สามารถรองรับได้ นี่คือเหตุผลที่ต้องใช้ AI ใน X-ray เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจคัดกรอง แต่หลายคนไม่มาตรวจเพราะกลัวเจอโรค ทั้งที่ควรตระหนักว่าเจอแล้วเจอเร็วจะสามารถจัดการได้ง่าย โอกาสรอดสูง”
ด้าน พญ.พจีพธู วรรณรัตน์ อายุรแพทย์สาขามะเร็งวิทยา โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก ทั้งชายและหญิง การรักษามะเร็งมีหลายแบบ แต่การวินิจฉัยที่เร็วขึ้นจะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสหายขาดจากโรคได้สูง โดยแบ่งระยะได้ ดังนี้
ระยะที่ 1 หากตรวจพบมีโอกาสหายขาด 90%
ระยะที่ 2 หากตรวจพบมีโอกาสหายขาด 60%
ระยะที่ 3 หากตรวจพบมีโอกาสหาย 50-10%
ระยะที่ 4 หากตรวจพบมีโอกาสหายได้ยาก ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประคับประคอง
ทั้งนี้ การรักษาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องของแต่ละบุคคล สภาพร่างกาย การกลายพันธ์ุของเซลล์ การให้ยา เป็นต้น
พญ.ประพินทุ์ภา จงกิตติพงศ์ อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดมีทั้งที่สามารถป้องกันได้และป้องกันไม่ได้ ที่ป้องกันได้คือการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยง PM 2.5 ซึ่งพบว่าเป็นปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากที่ไม่สูบบุหรี่ ส่วนที่ป้องกันไม่ได้คือการกลายพันธุ์ของพันธุกรรม (Genetic mutation)
โดยความรุนแรงของโรคไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยง แต่ขึ้นอยู่กับระยะของโรคที่ตรวจพบ การรู้เร็ว (early screening) จะส่งผลต่อผลลัพธ์ในการรักษา อัตราการรอดชีวิต และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
นางสาวสุพิชญา พู่พิสุทธิ์ ผู้บริหารบริษัท เพอเซ็ปทรา จำกัด กล่าวว่า บทบาทของเทคโนโลยี "Inspectra CXR" ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ AI จะช่วยปิดช่องว่างข้อจำกัดต่างๆ ของสายตามนุษย์ หรือข้อจำกัดเวลาในการอ่านภาพจำนวนมาก เพื่อส่งเสริมให้การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดให้มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงขึ้นในทุกสถานพยาบาล
“เราเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลพญาไท และได้เทรน AI ร่วมกับโรงเรียนแพทย์ในประเทศไทย ในการตรวจจับความผิดปกติอย่างละเอียดและแม่นยำ โดยระบบได้รับการฝึกฝนด้วยภาพเอกซเรย์คุณภาพสูงกว่า 1.9 ล้านภาพ มีภาพของคนไทยประมาณ 40% ตรวจจับวัณโรคและมะเร็งปอด”
ดังนั้น ระบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบรอยโรคขนาดเล็ก หรือก้อนที่อาจมองไม่เห็นชัดด้วยสายตามนุษย์ ลดความเสี่ยงในการมองพลาดความผิดปกติที่สำคัญ และช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยลดต้นทุนการรักษาในระยะยาว