KEY
POINTS
ในงาน Life Expo 2025 มหกรรมสุขภาพแบบองค์รวมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดย บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และอีเวนต์ระดับโลก ภายใต้การสนับสนุนของพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ระหว่างในวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดอยู่ UOB LIVE เอ็มสเฟียร์
คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและผิวพรรณ อาทิ แพทย์หญิงวิชญาดา เดโชวิบูลย์, นายแพทย์รัฐภูมิ สุเมธีวิทย์, นายแพทย์ชินวัตร เหรียญมณี และอีกหลายท่าน ได้ร่วมกันให้ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางของอุตสาหกรรมความงามบนเวทีทอล์ค Speakers of The Year ในหัวข้อ Beauty Signature โดยชี้ชัดว่าเทรนด์ความงามกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค "Holistic Beauty" หรือความงามแบบองค์รวมอย่างเต็มตัว
ในอดีตภาพจำของความสวยงามมักเน้นไปที่การปรับรูปหน้า การฉีดให้หน้าตึง หรือทำให้ใบหน้าเป็นรูปตัว V (V-Shape) แต่ปัจจุบันแนวคิดได้ขยายขอบเขตออกไปเปฌนแบบ Holistic Beauty คือการดูแลที่เน้นการ "สวยจากภายใน" สู่ภายนอก ครอบคลุมไปถึงการดูแล ผิวพรรณ สุขภาพที่ดี ระบบฮอร์โมน และสุขภาพภายในระดับเซลล์ เทรนด์นี้คือการมองหาความสวยงามที่ยั่งยืน (Sustainable Beauty) ซึ่งแสดงออกสู่ภายนอก รวมถึงด้านสกินและผิวพรรณ
ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของการดูแลที่เป็นความต้องการในปัจจุบันคือ “การชะลอวัย” ที่ผู้เข้ารับบริการต้องการ “ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง” และคงความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ และการดูแลสุขภาพไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใบหน้าและลำคอเท่านั้น แต่เป็นการ “วางแผนสุขภาพ” ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
สำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการจะอายุน้อยลงเรื่องๆ จากในอดีตคนไข้มักจะมาคลินิกเมื่อเริ่มมีความหย่อนคล้อย (วัย 30 ปลายหรือ 40) แต่ปัจจุบันพบว่าคนไข้เริ่มเข้ามาปรึกษาตั้งแต่วัยรุ่นตอนปลายหรือ อายุ 20 กว่า ๆหรือน้อยกว่านั้น เนื่องจากมีความกังวลเรื่องมุมมองใบหน้าและความเรียบเนียนของผิวที่ได้รับอิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย
ทั้งนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกันว่า แม้จะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามามากมาย แต่ Filler (สารสังเคราะห์ที่มีความคงตัวสูง) ยังคงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยบทบาทหลักของ Filler คือการเติมวอลุ่มที่หายไป และ ปรับโครงสร้างใบหน้าโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำงานในชั้นโครงสร้างของใบหน้า ซึ่งหัตถการอื่น ๆ ไม่สามารถชดเชยส่วนที่ทรุดลงตามกาลเวลาได้
ปัจจุบันการปรับรูปหน้าจะใช้ Hybrid Technique (เทคนิคผสมผสาน) โดยใช้ Filler ร่วมกับสารอื่น ๆ เช่น
1. ร่วมกับ Bio Stimulator: เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน เช่น Calcium Hydroxyapatite (แคลเซียม ไฮดรอกซี่ อะพาไทต์) เพื่อให้ผิวมีความแน่น เฟิร์ม และกระชับมากขึ้น
2. ร่วมกับ Botox: ใช้ฉีดบริเวณคอเพื่อลดการดึงรั้งของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยลดความหย่อนคล้อยของใบหน้าส่วนล่าง ทำให้ใบหน้าดูยกและเรียวมากขึ้น
ส่วน Filler (เช่น HA Filler) ถือเป็นสารคงตัวที่ใส่เข้าไปในหน้าเพื่อ เติมเต็ม เป็นการชั่วคราวและสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแพทย์ นอกจากนี้ยังมี Bio Stimulator คือสารที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเองร่วมด้วย ช่วยในเรื่องของคุณภาพผิว ทำให้ผิวเฟิร์มและแน่นขึ้น แต่ผลลัพธ์ของ Bio Stimulator ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล และหากใช้ผิดประเภทอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือผังผืดได้ ดังนั้น การประเมินผิวของคนไข้จึงเป็นหลักสำคัญ
หัตถการที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตสูงและไปต่อในปี 2569 มี 3 รายการหลัก คือ
1. Botox: ข้อบ่งชี้เพิ่มขึ้น และผู้ใช้มีอายุน้อยลงอย่างต่อเนื่อง (เคยพบผู้ใช้ด้านความงามที่อายุน้อยสุด 13 ปี).
2. Bio Stimulator: ได้รับความนิยมและเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา และแนวโน้มยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ.
3. Filler: ยอดอาจจะเคยดรอปในช่วงสั้น ๆ แต่จะกลับมาพุ่งสูงขึ้น เพราะ Filler เป็น จิ๊กซอว์สำคัญ ที่แก้ไขโครงสร้างใบหน้าที่ทรุดลงตามกาลเวลาในชั้นที่หัตถการอื่นทดแทนไม่ได้
อีกหนึ่งในประเด็นที่ต้องระวังในยุคที่การเข้าถึงหัตถการความงามง่ายขึ้น คือภาวะ Overfilled Face ซึ่งเกิดจากการเติมสารเติมเต็มมากเกินความจำเป็น ภาวะนี้ทำให้ใบหน้าขาดมิติ ดู บวมกลมตลอดเวลา และการขยับยิ้มดูไม่เป็นธรรมชาติ สาเหตุหลักส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจผิดของคนไข้ที่คิดว่า "ยิ่งเติมยิ่งสวย" รวมถึงปัจจัยด้านความไม่มั่นใจที่ทำให้คนไข้รู้สึกดี (Feel Good) เมื่อได้รับการฉีดอย่างต่อเนื่อง ทำให้คนไข้มีภาพใบหน้าในอุดมคติที่เกินจริง
ดังนั้น การวิเคราะห์และออกแบบใบหน้า แพทย์ต้องวิเคราะห์อย่างเหมาะสมภายใต้พื้นฐานของจรรยาบรรณ และต้องทำให้ใบหน้าออกมาเป็นธรรมชาติ เน้นย้ำว่าต้องไม่เกิดภาวะ Overfilled แม้จะมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เช่น การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์และประเมินใบหน้า หรือการพัฒนา "มือกล" (Robotic Hand) เพื่อฉีดแทนแพทย์
สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั่น แม้ในอีก 10 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีจะก้าวกระโดดก็ไม่สามารถทดแทนความเชี่ยวชาญของแพทย์ได้ เนื่องจากแพทย์ต้องมีความรู้ด้านกายวิภาค (Anatomy) และเทคนิคเพื่อให้ผลลัพธ์ที่สวยงามและคำนึงถึงปลอดภัย ดังนี้
1. ต้องมีการวิเคราะห์ก่อน โดยแพทย์และแก้ไขสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่ผู้รับบริการวินิจฉัยตัวเอง
2. ทำเท่าที่จำเป็น (Do only what is necessary) โดยการรักษาทางการแพทย์ย่อมมีขีดจำกัด (Limit) และความสวยงามต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
3. ผู้บรอการควรตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เลือกคลินิก ผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือที่ ได้มาตรฐานและผ่าน อย. และห้ามฉีดกับหมอเถื่อนโดยเด็ดขาด
4. แพทย์ต้องมีจรรยาบรรณ ไม่ควรเอาผลตอบแทนมาเป็นที่ตั้ง ควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้คนไข้ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความงามในอีก 2 ปีข้างหน้า เทรนด์ ‘Holistic Beauty’ หรือความงามแบบองค์รวม จะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการปรับโครงสร้างใบหน้า การดูแลความงามในยุค Holistic Beauty จึงเปรียบเสมือนการสร้างบ้านที่แข็งแรง
เริ่มจากการปรับโครงสร้างภายในและรากฐาน (สุขภาพ ฮอร์โมน และ Bio Stimulator) และใช้ Filler เป็นเสาหลักที่ช่วยยกพยุงส่วนที่ทรุดลงตามกาลเวลา เพื่อให้ความสวยงามคงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและเป็นธรรมชาติ