KEY
POINTS
ในงาน Life Expo 2025 มหกรรมสุขภาพแบบองค์รวมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดย บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด ผู้นำด้านการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และอีเวนต์ระดับโลก ภายใต้การสนับสนุนของพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ระหว่างในวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดอยู่ UOB LIVE เอ็มสเฟียร์
รศ. ดร.พญ. รัชต์ธร ปัญจประทีป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม ได้ขึ้นเวทีทอล์ค Speakers of The Year ให้ความรู้เรื่องเส้นผมโดย กล่าวว่า เรื่องเส้นผมเป็นเรื่องสำคัญที่หลายคนกังวล เพราะมักมีปัญหาทั้งผมหงอก ผมร่วง ห้วล้านทั้งผู้ชายและผู้หญิง ปัญหาเหล่านี้ล้วนบ่งบอกพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขภาพของแต่ละบุคคล ดังนี้
ผมหงอกเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งธรรมชาติ พันธุกรรม และการใช้ชีวิต รวมถึงความผิดปกติของอายุ คนทั่วไปมีผมหงอกถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ทางการแพทย์กำหนดเกณฑ์ว่า หากผมหงอกเกิดขึ้นเร็วกว่าอายุ 25 ปี ถือว่าผมหงอกผิดปกติ หรือ "ไวผิดปกติ" อาจเกิดจากความเครียด ที่เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งทำให้ผมหงอกเร็ว โดยเฉพาะภาวะ oxidative stress ซึ่งเปรียบเสมือนขยะของเซลล์ที่ย้อนกลับมาทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีของรากผม ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีเหล่านั้น "ขี้เกียจ" ทำงาน
นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากความเสียหายภายนอก เช่น ความร้อนและสารเคมีที่ใช้กับผม อาจทำให้หนังศีรษะเกิดความผิดปกติส่งผลให้เกิดอาการหงอกได้ หรือการขาดวิตามินและสารอาหารบางชนิดก็อาจทำให้ผมหงอกเร็วขึ้น โดยเฉพาะภาวะขาดธาตุเหล็ก มักพบในผู้หญิง ทำให้ผมมีสีอ่อนลง สีเปลี่ยน และผมหงอกเร็ว
การนอนหลับก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะหากนอนหลับไม่สนิทหรือไม่เพียงพอ (อย่างน้อย 6 ชั่วโมง) จะส่งผลเสียต่อการซ่อมแซมและการสร้างผมในช่วงกลางคืน เนื่องจากฮอร์โมนเมลาโตนินจะหลั่งเมื่อนอนหลับสนิท หากการซ่อมแซมไม่ดี จะส่งผลให้ผมร่วง ผมเส้นบางลง รวมถึงผมหงอกด้วย
เรื่องผมร่วงจะถือว่าผิดปกติเมื่อผมร่วงเกินกว่า 70–100 เส้นต่อวัน สาเหตุหลักของผมร่วงมี 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ปัจจัยทางโภชนาการและการลดน้ำหนัก เช่น การขาดโปรตีน ไม่รับประทานโปรตีน หรือลดอาหารอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายขาดโปรตีน เพราะนับเป็นส่วนประกอบหลักของเส้นผม (เคราติน/อะมิโนแอซิด) ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมร่วง รวมถึงการขาดวิตามิน/แร่ธาตุสำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก และสังกะสี (ธาตุเหล็กมักพบในเนื้อแดง) ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผมร่วง ตลอดจนการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินกว่า 1–2 กิโลกรัมต่อเดือน ในทางการแพทย์อาจทำให้เกิดโรคผมร่วงฉับพลัน
2. ปัจจัยภายนอกและการดูแลไม่ถูกต้อง เช่นการทำผมด้วยสารเคมีและความร้อน การใช้ความร้อนแรง ๆ หรือสารเคมี (เช่น สเปรย์และเจล) สัมผัสโดนหนังศีรษะโดยตรง อาจเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วง การทำผมแบบนี้ทุกวันเป็นการทำลายเส้นผมและสุขอนามัยของหนังศีรษะ หากใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมก็ต้องสระผมให้สะอาดก่อนนอนทันที เพื่อกำจัดคราบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุด เพราะการหมักผมยีผมหรือให้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมข้ามคืนจะเกิดผลเสีย
ดังนั้น ต้องทำให้ผมแห้งหลังสระผม ต้องเป่าผมให้แห้งสนิทก่อนเข้านอน เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และปัญหาหนังศีรษะมันและมีกลิ่น อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียหรือยีสต์บนหนังศีรษะ (Skin/Scalp Microbiome) ซึ่งอาจเป็นผลจากความเครียดหรือมลภาวะ แนวทางแก้ไขคือการใช้แชมพูยาเพื่อยับยั้งยีสต์/แบคทีเรีย สระผมให้บ่อยขึ้นอย่างไรก็ตาม แนะนำให้สระผมบ่อยที่สุดคือวันละ 1 ครั้ง สำหรับคนหนังศีรษะมัน แต่การสระบ่อยเกินไปอาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองหรือผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป
ปัญหาหัวล้านหรือผมบางที่รุนแรงมักเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและปัจจัยทางพันธุกรรม โดยฮอร์โมนเพศชายอาจ "แย่ต่อสุขภาพผม" ทำให้ผมเส้นเล็กและบางลงเรื่อย ๆ สอดคล้องกับพันธุกรรม เพราะปัญหาผมร่วง/ผมบาง สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นสู่รุ่นและเป็นยีนเด่น หากพ่อหรือแม่มีปัญหาผมบาง จะมีโอกาสถ่ายทอดสู่ลูกได้สูงถึง 75%
ลักษณะผมบางในผู้ชายมักมีรูปแบบที่ชัดเจน คือ ศีรษะด้านหน้าจะเริ่มเถิกไปในวัยหนุ่มสาว และผมบริเวณกระหม่อมด้านหลังจะเริ่มบางลงเมื่อเข้าสู่วัยทำงานหรือมีความเครียด ส่วนลักษณะผมบางในผู้หญิง มักจะบางในช่วงตรงกลางศีรษะเป็นหลัก และจะไม่มีอาการเถิกบริเวณด้านหน้าเหมือนผู้ชาย
สำหรับการรักษาและการจัดการฮอร์โมน ปัจจุบันมียาที่ช่วยยับยั้งฮอร์โมนเพศชายไม่ให้ไปเกาะที่รากผม หรือการรับประทานฮอร์โมนเพศหญิงทำให้สัดส่วนฮอร์โมนเพศชายลดลง สามารถทำให้สุขภาพเส้นผมดีขึ้น ยาวขึ้น และแข็งแรงขึ้น แต่ไม่แนะนำให้ผู้ชายทุกคนมาทานฮอร์โมนเพศหญิง เนื่องจากจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระอื่น ๆ เช่น มีหน้าอกและสะโพก
ในปัจจุบันจะใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า ไตรโคสแกน (Trichoscan) ในการสแกนหนังศีรษะและเส้นผม เครื่องมือนี้สามารถวิเคราะห์ปริมาณเส้นผมต่อตารางเซนติเมตร (ค่าเฉลี่ยคนเอเชียอยู่ที่ 120–160 เส้นต่อ ตร.ซม.) และปริมาณเส้นผมต่อรูขุมขน (ปกติคนเอเชียควรมี 2 เส้นต่อรูขุมขน ต่อ 1 รูขุมขน) เพื่อประเมินคุณภาพและความหนาของเส้นผม การตรวจนี้ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้เหมาะสม