'โสภณ' ประกาศ 6 แนวทางยกระดับ '30 บาทรักษาทุกที่' ต่อเนื่อง

15 ต.ค. 2568 | 11:35 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ต.ค. 2568 | 11:38 น.

'โสภณ' รองนายกฯ ประชุมชี้แจง กองทุนบัตรทอง ปีงบประมาณ 69 ประกาศ 6 แนวทางปฏิรูปยกระดับ "30 บาทรักษาทุกที่" ต่อเนื่องดูแลคนไทยเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ-มาตรฐานอย่างเท่าเทียม 

KEY

POINTS

  • รัฐบาลประกาศ 6 แนวทางเพื่อยกระดับนโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่" อย่างต่อเนื่อง ให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • เตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ และเพิ่มบริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน
  • ส่งเสริมการพัฒนาศูนย์รักษามะเร็งให้ครอบคลุม และขยายบริการฟอกไตฟรีทุกแห่ง
  • ให้ความสำคัญกับหน่วยบริการระดับท้องถิ่น เช่น รพ.สต. และ อสม. ให้ทำงานเชื่อมโยงกับส่วนกลาง
  • ส่งเสริมการตรวจคัดกรองโรคเชิงรุกโดยใช้เทคโนโลยีและระบบสุขภาพสมัยใหม่

15 ตุลาคม 2568  นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569 จัดโดยกระทรวงสาธารณสุขและ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศรับทราบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

นายโสภณ รองนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างเท่าเทียม ต่อยอดจากการปฏิรูประบบ "30 บาทรักษาทุกที่" ซึ่งริเริ่มโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ยกระดับบริการที่เพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งโรคมะเร็งรักษาทุกที่ ผู้ป่วยในไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และเปลี่ยนสถานพยาบาลประจำตัวใช้สิทธิได้ทันที เป็นต้น

ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รองรับความท้าทายใหม่ของระบบสุขภาพ โดยเฉพาะสังคมผู้สูงอายุ พร้อมลงทุนด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นในการดูแลโรคสำคัญ เช่น มะเร็ง โรคไต เป็นต้น ช่วยลดการเสียชีวิตและภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว รวมถึงส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและแพทย์แผนไทย ช่วยสร้างสุขภาวะทั้งกายและใจให้ประชาชน

'โสภณ' ประกาศ 6 แนวทางยกระดับ '30 บาทรักษาทุกที่' ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมเดินหน้า 6 แนวทางสู่ "การยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่" ดังนี้ 1.เตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ ส่งเสริมการมีสุขภาพดีและมีความตระหนักต่อสุขภาพ (Health Literacy) 2.ปรับการรักษาพยาบาล เพิ่มบริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มดำเนินการแล้ว         3.ส่งเสริมพัฒนาศูนย์รักษามะเร็ง เครื่องฉายรังสีรักษามะเร็งฟรีและครอบคลุมเพื่อดูแลประชาชน

4.ฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชนให้ได้มากที่สุด 5.ให้ความสำคัญระดับท้องถิ่น ทั้ง รพ.สต. ที่ถ่ายโอน และ อสม. ในการทำงานเชื่อมโยงกันกับกระทรวงสาธารณสุข และงบประมาณเชื่อมตรงกับ สปสช.และ 6.ส่งเสริมการตรวจคัดกรองโรคเชิงรุก ด้วยเทคโนโลยีและระบบสุขภาพสมัยใหม่

"จากความร่วมมือของหน่วยบริการและภาคีเครือข่ายทุกๆ ภาคส่วนในวันนี้ เพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบสุขภาพของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้คนไทยผู้มีสิทธิบัตรทองได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่ดี ยกระดับคุณภาพชีวิต และร่วมเป็นส่วนสนับสนุนให้ระบบหลักประกันสุขภาพของคนไทยทุกคนให้ยั่งยืน" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

ด้าน นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สปสช. ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 26 (4) และ (5) มีหน้าที่บริหารจัดการกองทุนและจ่ายค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)

ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาระบบมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ประชาชนได้รับการดูแลภายใต้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขที่มุ่งมั่นการดูแลสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน

การประชุมฯ ในวันนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้ผู้ให้บริการได้รับทราบนโยบายและแนวทางต่างๆ ในการบริหารระบบฯ ปีงบประมาณ 2569 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพให้กับประชาชนทั่วประเทศ

"รัฐบาลให้ความสำคัญกับระบบบัตรทองที่เป็นกลไกในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศ ซึ่งการบริหารกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับคุณภาพบริการ ลดความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ และสร้างความเชื่อมั่นด้านระบบสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่พร้อมให้การสนับสนุนการพัฒนาระบบบัตรทองโดยมีเป้าหมายเพื่อดูแลสุขภาพให้กับไทยทุกคน" รมว.สาธารณสุข กล่าว

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สาธารณสุขมีนโยบายมุ่งมั่นที่จะ "สานต่อ วางรากฐาน ร่วมพัฒนา เพื่อระบบที่ยั่งยืน" นอกจากการขับเคลื่อนนโยบายของท่าน รมว.สาธารณสุขและท่าน รมช.สาธารณสุขแล้ว ยังเดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์หลักที่สอดคล้องหลักการระบบบัตรทองที่ต่างมีเป้าหมายเพื่อการดูแลสุขภาพคนไทยทุกคน คือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพเชิงพื้นที่ ลดเหลื่อมล้ำที่ตอบรับนโยบาย "30 บาท รักษาทุกที่" และการขยายการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.

2. สร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย คนไทยแข็งแรง ทั้งขับเคลื่อนเด็กพัฒนาสมวัย วัยทำงานพฤติกรรมสุขภาพดี ลดภาวะพึ่งพิงผู้สูงอายุ ยกระดับควบคุมป้องกัน NCDs และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี 

3. เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ดิจิทัลสุขภาพ ระบบข้อมูลสุขภาพอัจฉริยะ 4. เพิ่มมูลค่าเชิงเศรษฐกิจสุขภาพ ทั้งกบริการสุขภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ สมุนไพรไทย การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมสุขภาพ และพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และ 5.บุคลากรมีขวัญกำลังใจ และคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี

" จาก 5 ยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุขนี้ เชื่อมันเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นส่วนที่สนับสนุนให้การดำเนินงานของ สปสช. บรรลุเป้าหมายได้ ขณะเดียวกันระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็เป็นส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขให้ประสบความสำเร็จเช่นกัน" ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

'โสภณ' ประกาศ 6 แนวทางยกระดับ '30 บาทรักษาทุกที่' ต่อเนื่อง

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา ระบบบัตรทองสามารถขับเคลื่อนไปได้ด้วยความร่วมมือจากหน่วยบริการทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ประชาชนผู้มีสิทธิราว 48 ล้านคน ได้รับบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้การดำเนินงานของกองทุนบัตรทองปีงบประมาณ 2569 เป็นไปในทิศทางเดียวกันและบรรลุเป้าหมายนโยบายที่กำหนดไว้ นำมาสู่จัดการประชุมชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ในวันนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการบริหารจัดการกองทุน

รวมถึงชี้แจงสิทธิประโยชน์และประเด็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อให้หน่วยบริการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมเปิดเวทีให้ผู้ให้บริการทุกภาคส่วนได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ เพื่อพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น