เครื่องดื่ม “ชา-กาแฟ” ช่วยลดความอ้วนและเบาหวาน จริงหรือไม่!

10 ก.ค. 2568 | 19:25 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ค. 2568 | 02:08 น.

เผยคุณสมบัติการดื่ม “ชา” และ “กาแฟ” มีสารต้านอนุมูลอิสระ - คาเฟอีน จากการศึกษาวิจัย พบว่า ช่วยลดไขมัน เบาหวาน และลความอ้วน แต่ควรระวังความเสี่ยงที่อันตราย

“ชา และ กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลก รองจากน้ำเปล่า เริ่มต้นที่ “ชา” ทำจากส่วนใบของต้นชา (Camellia sinensis) แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น ชาดำ (Black tea), ชาเขียว (Green tea), ชาอู่หลง (Oolong tea), ชาขาว (White tea), ชาเหลือง (Yellow tea), ชาแดง (Pu-erh tea) นอกจากนี้ยังมีชาสมุนไพร (Herbal tea) ที่ได้มาจากสมุนไพร ดอกไม้ หรือผลไม้ เช่น ชามะตูม ชาเก๊กฮวย ชาคาโมมายล์ ฯลฯ

โดยทั่วไปเครื่องดื่มชาเขียวชง (250 มล.) มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) หรือสารต้านอนุมูลอิสระ (คาเทชิน ; Catechins) อยู่ที่ 50 – 100 มิลลิกรัม และคาเฟอีน 30 – 40 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณอาจแตกต่างกันตามขั้นตอนการเตรียม เวลาในการต้ม หรืออุณหภูมิของน้ำ

“ชา”เผาผลาญไขมัน-ลดคอเลสเตอรอล

จากการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่าสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในใบชา มีส่วนช่วยในการย่อยและการดูดซึมไขมันและคาร์โบไฮเดรต และช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) จากชาดำ (Black tea) แต่การดื่มชาจะต้องไม่ผสมน้ำตาลหรือนมข้น

ขณะที่สารสกัดจากชาเขียว ช่วยลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไขมันไม่ดี (LDL ; Low Density Lipoprotein) ในเลือดได้ ในการทดลองส่วนใหญ่ใช้เป็นสารสกัดชาเขียวเข้มข้นสูง หากต้องการให้ได้ผลตามงานวิจัยอาจจะต้องดื่มชาเขียวกว่าวันละ 160 แก้ว ซึ่งยังไม่มีการศึกษาในระยะยาวถึงความปลอดภัย ดังนั้น การปรับวิธีการเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย จึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและปลอดภัยมากกว่า

“กาแฟ” กระตุ้นสมอง-ลดเบาหวานและโรคอ้วน

ส่วน “กาแฟ” หากมองในด้านโภชนาการ กาแฟดำ ที่ไม่ได้เติมส่วนผสมอย่างอื่น เช่น น้ำตาลหรือครีม นับเป็นเครื่องดื่มที่มีพลังงานต่ำ กาแฟ 1 แก้ว (240 มล. หรือ 8 ออนซ์) มีพลังงานน้อยกว่า 5 กิโลแคลอรี เป็นแหล่งของสารอาหารต่าง ๆ เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และกรดโฟลิก อีกทั้งอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ รวมถึงคาเฟอีนทำหน้าที่กระตุ้นสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กะเปร่าและป้องกันอาการเมื่อยล้า 

มีงานวิจัยระบุว่า การดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน การดื่มกาแฟมีความสัมพันธ์กับการลดภาวะดื้อต่ออินสุลิน (Insulin Resistance) การดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานได้ 6% และมีส่วนช่วยในการลดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน จากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ

นอกจากนี้ ยังช่วยลดโรคอ้วน ลดระดับฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่เกี่ยวข้องกับความหิว ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยคาเฟอีนช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ ได้ 29% และในคนอ้วนได้ 10% 

อย่างไรก็ตาม การดื่มชา-กาแฟ ก็มีข้อควรระวังเพราะร่างกายคนเราตอบสนองแตกต่างกัน เช่น การดื่มกาแฟจะเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เสียชีวิต โดยคาเฟอีนจะส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ หรือเพิ่มอาการทางจิตเวชได้ ดังนั้น ควรดื่มในปริมาณที่ เหมาะสมไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน

 

 

ข้อมูลจาก :โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์ และ BDMS wellness clinic