“ชา และ กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลก รองจากน้ำเปล่า เริ่มต้นที่ “ชา” ทำจากส่วนใบของต้นชา (Camellia sinensis) แบ่งออกได้หลายประเภท เช่น ชาดำ (Black tea), ชาเขียว (Green tea), ชาอู่หลง (Oolong tea), ชาขาว (White tea), ชาเหลือง (Yellow tea), ชาแดง (Pu-erh tea) นอกจากนี้ยังมีชาสมุนไพร (Herbal tea) ที่ได้มาจากสมุนไพร ดอกไม้ หรือผลไม้ เช่น ชามะตูม ชาเก๊กฮวย ชาคาโมมายล์ ฯลฯ
โดยทั่วไปเครื่องดื่มชาเขียวชง (250 มล.) มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) หรือสารต้านอนุมูลอิสระ (คาเทชิน ; Catechins) อยู่ที่ 50 – 100 มิลลิกรัม และคาเฟอีน 30 – 40 มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณอาจแตกต่างกันตามขั้นตอนการเตรียม เวลาในการต้ม หรืออุณหภูมิของน้ำ
จากการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่าสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในใบชา มีส่วนช่วยในการย่อยและการดูดซึมไขมันและคาร์โบไฮเดรต และช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) จากชาดำ (Black tea) แต่การดื่มชาจะต้องไม่ผสมน้ำตาลหรือนมข้น
ขณะที่สารสกัดจากชาเขียว ช่วยลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไขมันไม่ดี (LDL ; Low Density Lipoprotein) ในเลือดได้ ในการทดลองส่วนใหญ่ใช้เป็นสารสกัดชาเขียวเข้มข้นสูง หากต้องการให้ได้ผลตามงานวิจัยอาจจะต้องดื่มชาเขียวกว่าวันละ 160 แก้ว ซึ่งยังไม่มีการศึกษาในระยะยาวถึงความปลอดภัย ดังนั้น การปรับวิธีการเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย จึงเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและปลอดภัยมากกว่า
ส่วน “กาแฟ” หากมองในด้านโภชนาการ กาแฟดำ ที่ไม่ได้เติมส่วนผสมอย่างอื่น เช่น น้ำตาลหรือครีม นับเป็นเครื่องดื่มที่มีพลังงานต่ำ กาแฟ 1 แก้ว (240 มล. หรือ 8 ออนซ์) มีพลังงานน้อยกว่า 5 กิโลแคลอรี เป็นแหล่งของสารอาหารต่าง ๆ เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และกรดโฟลิก อีกทั้งอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ รวมถึงคาเฟอีนทำหน้าที่กระตุ้นสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กะเปร่าและป้องกันอาการเมื่อยล้า
มีงานวิจัยระบุว่า การดื่มกาแฟช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน การดื่มกาแฟมีความสัมพันธ์กับการลดภาวะดื้อต่ออินสุลิน (Insulin Resistance) การดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวานได้ 6% และมีส่วนช่วยในการลดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน จากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ
นอกจากนี้ ยังช่วยลดโรคอ้วน ลดระดับฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ที่เกี่ยวข้องกับความหิว ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยคาเฟอีนช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของคนที่มีน้ำหนักตัวปกติ ได้ 29% และในคนอ้วนได้ 10%
อย่างไรก็ตาม การดื่มชา-กาแฟ ก็มีข้อควรระวังเพราะร่างกายคนเราตอบสนองแตกต่างกัน เช่น การดื่มกาแฟจะเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เสียชีวิต โดยคาเฟอีนจะส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ หรือเพิ่มอาการทางจิตเวชได้ ดังนั้น ควรดื่มในปริมาณที่ เหมาะสมไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน
ข้อมูลจาก :โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาการุณย์ และ BDMS wellness clinic