นายเฉลิมพล สุวรรณประทีป ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการค้าต่างประเทศ MISTINE เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัจจุบัน มิสทินเป็นแบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงามของไทยที่ยังคงอยู่ใน TOP 20 ของตลาดในประเทศไทย ในปี 2567 ยอดขายสินค้าโดยรวมมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 40% จากปีก่อน และคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะยังคงเติบโตไม่ต่ำกว่า 40% โดยกำลังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ครั้งใหญ่ ซึ่งได้เริ่มมาประมาณ 3 ปีแล้วจนถึงตอนนี้
จากเดิมที่เคยใช้ "สีชมพู" เป็นแกนหลักในการสื่อสารในกลุ่ม Gen Y ที่อายุเฉลี่ยประมาณ 30 ปี ก็ได้เปลี่ยนมาใช้ "สีส้ม" มีเป้าหมายเพื่อเป็น "Energy of Youth" และเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z มากขึ้น เพราะจากการวิจัยกับกลุ่มเด็กรุ่นใหม่พบว่า 80% ตอบสนองต่อสีส้ม ทำให้นึกถึงความเปล่งประกาย
นอกจากนี้ ยังดึง Music Marketing เข้ามาเป็นกลยุทธ์ตอบโจทย์สไตล์คนรุ่นใหม่ เน้นให้ความสำคัญเรื่อง Reliability โดยการปรับเปลี่ยนนี้ส่งผลให้สัดส่วนลูกค้า Gen Z เติบโตขึ้นประมาณ 10% ในปี 2566-2567 และคาดว่าปี 2568 จะทำให้กลูกค้ากลุ่มนี้เติบโตเพิ่มได้อีก 20% พร้อมมุ่งเน้นความเท่าเทียมที่สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย หรือ ไม่จำกัดเพศ
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ที่โดนเด่นของมิสทินและพร้อมแข่งขันในตลาดโลก จะเป็นประเภทคครีมกันแดดที่ใช้ Innovation และส่วนผสมที่ไม่มีสารเคมี, น้ำยาอนามัย รองรับทุกเพศ, ผลิตภัณฑ์รักษาสิว ถือเป็น Top Sales ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีสัดส่วนยอดขายรวมจากต่างประเทศประมาณ 30% ของยอดขายทั้งหมด อีก 70 ยังเป็นยอดขายจากตลาดในประเทศไทยเป็นหลัก
"เรามีสินค้าเกือบ 4,000 SKU สินค้าทั้งหมดไม่ได้ส่งไปยังทุกประเทศทั่วโลก แต่จะเลือกโปรดักต์ฮีโร่เพื่อให้เหมาะกับแต่ละประเทศ เช่น กัมพูชา เน้นโฟมล้างหน้าสิว, พม่าเน้นโลชั่น, และบังกลาเทศเน้นโฟมล้างหน้า ยกตัวอย่างผลิตภัณฑ์รักษาสิวเฉพาะในกัมพูชา มียอดขายถึง 5 ล้านหลอดต่อปี และครองตำแหน่งเบอร์ 1 เรื่อง Acne ในประเทศกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ในกัมพูชา"
นายเฉลิมพล กล่าวว่า มิสทีนยังคงเป็นแบรนด์ไทยแข็งแกร่ง เข้าใจคนไทยและเป็นที่รู้จักในภูมิภาคอาเซียนมาอย่างยาวนาน รวมถึงตลาดจีน ด้วยจุดแข็งคือ Product of Thailand และ Made in Thailand 100% แตกต่างจากแบรนด์อื่น แม้ในภาวะหรือสถานการณ์ในปัจจุบันที่อาจมีอุปสรรด้านการขนส่งหรือความขัดแย้ง ยังคงขายสินค้าและทำการตลาดได้อย่างต่อเนื่องจากแผนที่วางไว้ล่วงหน้า 3 เดือน สต็อกสินค้าล่วงหน้า 6 เดือน ทำให้ไม่กระทบยอดขายมากนัก
อย่างไรก็ตาม มิสทินจะสื่อสารถึงเทรนด์การใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงาม ที่ต้องตอบโจทยไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากขึ้น ยิ่งในตลาดต่างประเทศต้องทำตลาดให้ผู้บริโภคเห็นภาพชัดเจน บางอย่างใช้วืธีการ "เอาโลกล้อมประเทศ" เช่น ความต้องการสินต้าจากจีน เมียนมา ฯลฯ จะส่งผลทำให้ลูกค้าคนไทยต้องการสินค้านั้นด้วย
สำหรับงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025 ระหว่างวันที่ 25 – 27 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) มิสทินได้จัดบูธแสดงสินค้าภายใต้ธีม “ช้างไทย” บริเวณ Hall 2 Booth no. L01 ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์ไทยที่มีคุณภาพระดับสากลสู่สายตานานาชาติ ซึ่งจัดขึ้นโดยชูรางวัลจากผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ ที่พิสูจน์ความสำเร็จในเวทีอินเตอร์ สะท้อนถึงคุณภาพและมาตรฐานระดับสากลของแบรนด์ไทยที่ต่างชาติยอมรับ