กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค ผนึกกำลังเอกชน ได้แก่ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด และพันธมิตรทั้ง 6 องค์กร ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรจากความร่วมมือ Dengue Zero จัดกิจกรรมเนื่องใน วันไข้เลือดออกอาเซียน 2568 หรือ ASEAN Dengue Day 2025
โดยประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดกิจกรรมสำหรับอาเซียนในปี 2568 นี้ ภายใต้คอนเซปต์ “อาเซียนร่วมใจ: สร้างอนาคตปลอดภัย ไม่ป่วยตายด้วยไข้เลือดออก” หรือ “ASEAN United: Zero Dengue Death, A Future We Build Together” สะท้อนความมุ่งมั่นของไทย ในการเร่งปฏิบัติแนวทางป้องกันไข้เลือดออกเชิงรุก พร้อมใช้ 4 มาตรการหลัก
เพื่อร่วมมือมุ่งสู่เป้าหมายเสียชีวิตเป็นศูนย์ โดยมีเป้าหมายไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข แต่คือการปกป้องอนาคตของประชากรอาเซียนเพื่อไม่ให้ “ความตายที่ป้องกันได้” จากไข้เลือดออกต้องเกิดขึ้น
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในปัจจุบัน กำลังส่งสัญญาณถึงภัยเงียบจากโรคที่มากับฤดูฝน โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนเร็วกว่าปกติในเดือนพฤษภาคม และยังมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่าโรคที่มาพร้อมฤดูฝนอย่าง “ไข้เลือดออก” กำลังกลายเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้บ่อยและยาวนานกว่าที่เคย
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคไข้เลือดออกเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย โดยได้กำหนดให้วันที่ 15 มิถุนายน ของทุกปีเป็น “วันไข้เลือดออกอาเซียน” แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะดำเนินการควบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างต่อเนื่อง แต่การแก้ปัญหาให้ได้อย่างยั่งยืนถือเป็นสิ่งที่ท้าทายเพราะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในระดับชุมชนและภูมิภาค จึงจะลดความสูญเสียจากโรคไข้เลือดออกได้ และไม่ควรมีใครเสียชีวิตจากโรคนี้
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาคนไทยมากกว่า 1.2 ล้านราย ติดเชื้อไข้เลือดออก ที่น่ากังวลคือโรคนี้สามารถเกิดซ้ำได้ไม่จำกัดเฉพาะเด็กหรือผู้สูงอายุ ครอบคลุมประชาชนในทุกช่วงวัย ดังนั้น การเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะช่วงฤดูฝน พร้อมกันนี้ยังต้องเน้นย้ำการสังเกตอาการเบื้องต้นและการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยง หากมีอาการไข้สูงลอยเกิน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที และห้ามซื้อยาแอสไพรินและยากลุ่ม NSAID รับประทานเอง เนื่องจากมีความเสี่ยงเลือดออกจนเสียชีวิต
นอกจากนี้ ข้อมูลของกรมควบคุมโรค เผยว่า สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 - 2567) พบผู้ป่วยปีละ 45,145 – 158,620 ราย มีจำนวนผู้เสียชีวิต 29 – 181 ราย และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 4 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วยแล้ว 13,079 รายและจำนวนผู้เสียชีวิต 15 ราย
สำหรับแนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดผ่าน 4 มาตรการหลัก ได้แก่
ด้านภาคีภาคเอกชน นายอากิระ นิชิมากิ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า คาโอก็มุ่งมั่นเพื่อ "ช่วยปกป้องทุกชีวิตในอนาคต" ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะเรื่องโรคไข้เลือดออกซึ่งมียุงเป็นพาหะ และตลอด 4 ปีที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อนโครงการ ‘GUARD OUR FUTURE’ อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา เพื่อควบคุมไข้เลือดออกอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อมั่นว่าโรคไข้เลือดออกป้องกันได้
นวัตกรรมคือหัวใจสำคัญของการป้องกัน คาโอจึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงที่มีประสิทธิภาพ มีความหลากหลายและแตกต่างเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานและไม่รบกวนชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งสนับสนุนผลิตภัณฑ์ให้แก่กรมควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการป้องกันที่ครอบคลุมในวงกว้าง และตัดวงจรความเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกในระดับประเทศ
นายปีเตอร์ สไตรเบิล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรคไข้เลือดออก ยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสาธารณสุขของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถมองข้ามได้เลย ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ในแต่ละปีมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกสูงถึงกว่า 400 ล้านคน ตัวเลขนี้เป็นการตอกย้ำถึงความเร่งด่วนในการป้องกันและตัดวงจรการแพร่ระบาด เพื่อไม่ให้ผู้คนต้องมาเจ็บป่วยจากโรคที่สามารถป้องกันได้
ดังนั้น ทาเคดาและเหล่าพันธมิตรได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการสร้างสังคมปลอดไข้เลือดออก โดยในปี 2568 นี้จะสื่อสารผ่านแคมเปญ “ไข้เลือดออกมือสอง” อาการที่คนเจ็บไม่ได้ป่วย แต่ต้องทรมาน จากการที่คนรักติดไข้เลือดออก ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบทางร่างกาย จิตใจ และความรู้สึกที่ไข้เลือดออกได้ทิ้งไว้ให้แก่คนใกล้ตัวและคนในครอบครัว และอาการนี้จะไม่เกิดขึ้นหากร่วมมือป้องกันยุงกัดและกำจัดแหล่งยุงไปด้วยกัน