ทำความรู้จัก “วัคซีน” สร้างภูมิคุ้มกันไวรัส RSV ในเด็กเล็ก

10 พ.ค. 2568 | 22:31 น.

ไวรัส RSV ร้ายกว่าที่คิด กุมารแพทย์แนะฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมแนะนำการดูแลเด็กหลังฉีดวัคซีนและสัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์

การสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ที่ทำให้พ่อแม่หลายคนเป็นกังวล เนื่องจากมักระบาดในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี

แพทย์หญิงมณินทร วรรณรัตน์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า เชื้อไวรัส RSV เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่มักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปีมากกว่า

"เชื้อไวรัส RSV มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายได้นานหลายชั่วโมง และอยู่ที่มือได้นานประมาณ 30 นาที การติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อผ่านทางการไอ จาม ไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก หรือจากการจับมือ ในประเทศไทยมักพบการระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว"

แพทย์หญิงมณินทร วรรณรัตน์

อาการของโรคติดเชื้อ RSV ในระยะแรกจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล แต่เมื่ออาการลุกลาม อาจทำให้เกิดหลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ หรือปอดอักเสบ โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดในลำคอ และมีเสมหะมาก ซึ่งเป็นอันตรายมากสำหรับเด็กเล็กที่ไม่สามารถเอาน้ำมูกหรือเสมหะออกเองได้ จนทำให้หายใจลำบาก

นอกจากการป้องกันโรค RSV แล้ว การฉีดวัคซีนตามกำหนดก็เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญ

ทำความรู้จัก “วัคซีน” สร้างภูมิคุ้มกันไวรัส RSV ในเด็กเล็ก

วัคซีนป้องกันไวรัส RSV

วัคซีนพื้นฐาน

ซึ่งอยู่ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ และแนะนำให้เด็กไทยทุกคนได้รับ ได้แก่

  • วัคซีนบีซีจี ป้องกันวัณโรค ให้ตั้งแต่แรกเกิด
  • วัคซีนตับอักเสบบี ให้ 3 ครั้ง ตั้งแต่แรกเกิด อายุ 1-2 เดือน และอายุ 6 เดือน
  • วัคซีนโปลิโอ ให้เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ขวบครึ่ง และ 4-6 ขวบ
  • วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์ ให้พร้อมกับวัคซีนโปลิโอ คือ ให้เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ขวบครึ่ง, 4-6 ขวบ และกระตุ้นเมื่ออายุ 11-12 ปี
  • วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม ให้เมื่ออายุ 9-12 เดือน และให้ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง
  • วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี ให้เมื่ออายุ 9-12 เดือน และกระตุ้นอีกครั้ง 12-18 เดือนต่อมา

 

วัคซีนทางเลือก

ซึ่งมีประโยชน์แต่ยังมีราคาสูง ทำให้ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ได้แก่

  • วัคซีนป้องกันโรคจากเชื้อ Haemophilus Influenzae Type B (Hib) ซึ่งก่อโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ให้เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน และกระตุ้นเมื่ออายุ 1-1 ขวบครึ่ง
  • วัคซีนป้องกันโรคจากเชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งก่อให้เกิดการติดเชื้อแบบรุกราน เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด กระดูกและข้อติดเชื้อ ให้ฉีดเมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน และกระตุ้นเมื่ออายุ 12-15 เดือน
  • วัคซีนป้องกันโรคท้องเสียจากไวรัสโรต้า ให้ 2 หรือ 3 ครั้ง (ขึ้นกับชนิดวัคซีน) เมื่ออายุ 2, 4 และ 6 เดือน โดยการหยอด
  • วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่า บรรจุรวมกับวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก สามารถใช้แทนวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดทั้งเซลล์
  • วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป (เด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีต้องฉีด 2 เข็มในปีแรก)
  • วัคซีนตับอักเสบเอ ให้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี โดยให้ 2 ครั้ง ห่างกัน 6-12 เดือน
  • วัคซีนอีสุกอีใส ให้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และให้ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 2 ขวบครึ่ง – 4 ขวบ
  • วัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกและหูดอวัยวะเพศ ให้ได้ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี
  • วัคซีนไข้เลือดออก ฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9-45 ปี โดยให้ 3 ครั้ง ที่ 0, 6 และ 12 เดือน

ทำความรู้จัก “วัคซีน” สร้างภูมิคุ้มกันไวรัส RSV ในเด็กเล็ก

การดูแลเด็กหลังได้รับวัคซีน

ควรเฝ้าสังเกตอาการที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที เพราะปฏิกิริยาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) มักเกิดขึ้นภายในช่วงเวลานี้

ฝีจากวัคซีนบีซีจีที่ฉีดเมื่อแรกเกิดอาจเป็นฝีใต้ผิวหนังขนาดเล็กอยู่ได้นาน 3-4 สัปดาห์ ไม่ต้องใส่ยาหรือปิดแผล เพียงเช็ดด้วยสำลีชุบน้ำต้มสุก แต่หากมีต่อมน้ำเหลืองใกล้ตำแหน่งที่ฉีดวัคซีนบีซีจีมีขนาดใหญ่ควรไปพบแพทย์

อาการข้างเคียงทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น ปวด บวมบริเวณที่ฉีดวัคซีน ไข้ ร้องกวน อาเจียน หรือท้องเสีย สามารถดูแลโดยให้ยาพาราเซตามอลและรักษาตามอาการ แต่หากพบอาการรุนแรง เช่น ชัก สะลึมสะลือ โคม่า ผื่นลมพิษรุนแรง หายใจลำบาก ตัวเขียว หรือชีพจรเบาเร็ว ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที

"หากในวันนัดฉีดวัคซีน ลูกน้อยมีไข้สูง ควรเลื่อนการฉีดออกไปก่อน แต่หากป่วยเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นหวัดโดยไม่มีไข้ หรือท้องเสียเล็กน้อย ก็สามารถรับวัคซีนได้ตามกำหนด" แพทย์หญิงมณินทรกล่าว

นอกจากนี้ ในกรณีที่เด็กมีประวัติแพ้วัคซีนหรือส่วนประกอบของวัคซีน ควรหลีกเลี่ยงการรับวัคซีนนั้นๆ ถ้าเด็กแพ้ไข่รุนแรงไม่ควรรับวัคซีนที่ผลิตจากไข่ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ แต่ยังสามารถรับวัคซีนหัดได้ เนื่องจากมีไข่ปนอยู่น้อยมาก

สิ่งสำคัญของการพาเด็กไปรับวัคซีนตามกำหนดนัด และการนำสมุดบันทึกวัคซีนไปพบแพทย์ทุกครั้ง พร้อมเก็บสมุดบันทึกไว้จนเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเมินภูมิคุ้มกันโรคในอนาคต

"การฉีดวัคซีนตามกำหนดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคติดเชื้อร้ายแรงหลายชนิด ซึ่งนอกจากจะช่วยปกป้องลูกน้อยของท่านแล้ว ยังช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคในชุมชนอีกด้วย"