เด็กเล็กเสี่ยง! ไวรัส RSV กุมารแพทย์แนะฉีดภูมิคุ้มกันก่อนเข้าฤดูระบาด

10 พ.ค. 2568 | 08:10 น.

RSV ภัยเงียบคุกคามเด็กเล็ก กุมารแพทย์แนะนำภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันการติดเชื้อได้ 79.5% ลดความเสี่ยงการเข้ารพ.กว่า 83.2%

เชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ถือเป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อที่สร้างความกังวลให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองมากที่สุด เนื่องจากมักระบาดในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และสามารถก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง

แพทย์หญิงมณินทร วรรณรัตน์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า เชื้อไวรัส RSV สามารถติดเชื้อได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากมักเกิดในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี เชื้อไวรัสนี้มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายได้นานหลายชั่วโมง และสามารถอยู่ที่มือได้นานประมาณ 30 นาที

"การติดเชื้อไวรัส RSV เกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อผ่านทางการไอ จาม โดยไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก หรือจากการจับมือ ในประเทศไทยมักพบเชื้อไวรัส RSV บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว"

แพทย์หญิงมณินทร วรรณรัตน์

เมื่อติดเชื้อไวรัส RSV ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล แต่เมื่ออาการลุกลาม อาจทำให้เกิดหลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ หรือปอดอักเสบ โดยจะมีอาการไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดในลำคอ และมีเสมหะมากกว่าไข้หวัดธรรมดา ซึ่งเด็กเล็กไม่สามารถเอาน้ำมูกหรือเสมหะออกเองได้ ทำให้หายใจลำบาก

ปัจจุบัน มีทางเลือกใหม่ในการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงให้กับเด็กๆ ด้วยการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ซึ่งเป็นการฉีดสารภูมิคุ้มกัน (Antibody) ต่อเชื้อไวรัส RSV ให้กับร่างกายเพื่อนำไปใช้ต้านทานเชื้อไวรัส RSV ได้ทันที

แพทย์หญิงมณินทรแนะนำให้ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV โดยแบ่งตามช่วงอายุดังนี้

กลุ่มทารกแรกเกิด – 12 เดือน

  • ทารกแรกเกิด – 12 เดือนที่มีสุขภาพแข็งแรงดีแนะนำให้ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV
  • ทารกแรกเกิด – 12 เดือนที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อ RSV รุนแรง ได้แก่
    • โรคปอดเรื้อรังจากภาวะคลอดก่อนกำหนด (BPD) ที่ยังคงต้องรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ หรือมีการใช้ออกซิเจนในช่วง 6 เดือนก่อนเข้าสู่ฤดูกาลระบาด
    • เด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
    • เด็กที่เป็นโรค cystic fibrosis รุนแรง เช่น เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากการกำเริบของโรคปอดในปีแรกของชีวิต หรือมีความผิดปกติของภาพถ่ายทรวงอก หรือมีภาวะทุพโภชนาการ
    • เด็กที่มีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดและยังคงได้รับการรักษาอยู่

กลุ่มนี้จะได้รับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV จำนวน 1 เข็ม โดยปริมาณขึ้นอยู่กับน้ำหนักและอายุของเด็ก แนะนำให้ฉีดในระยะเข้าฤดูกาลระบาดของ RSV คือช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี สำหรับทารกที่เกิดในช่วงฤดูกาลระบาดสามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV หลังคลอดได้ทันที

เด็กเล็กเสี่ยง! ไวรัส RSV กุมารแพทย์แนะฉีดภูมิคุ้มกันก่อนเข้าฤดูระบาด

กลุ่มเด็กอายุ 12 - 24 เดือน

  • เด็กอายุ 12 – 24 เดือนที่มีสุขภาพแข็งแรงดีแนะนำให้ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV
  • เด็กอายุ 12 - 19 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อ RSV รุนแรง และอาจพิจารณาในเด็กอายุ 19-24 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดเชื้อ RSV รุนแรง

กลุ่มนี้จะได้รับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV จำนวน 2 เข็ม โดยปริมาณขึ้นอยู่กับน้ำหนักและอายุของเด็ก แนะนำให้ฉีดในระยะเข้าฤดูกาลระบาดของ RSV คือช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปีเช่นเดียวกัน

"ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV มีความปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพในการช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อไวรัส RSV ได้ถึง 79.5% ลดความเสี่ยงจากการรักษาตัวในโรงพยาบาลของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV ได้ถึง 83.2% และที่สำคัญคือสามารถลดความรุนแรงและลดโอกาสจากการรักษาตัวในไอซียูได้ถึง 75.3%"

นอกจากนี้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปยังสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ได้ยาวนานถึง 5 เดือน ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส RSV ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถวางแผนการฉีดภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูกาลระบาดของโรค

การให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ถือเป็นทางเลือกสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวที่มีความเสี่ยงสูงในการระบาดของเชื้อไวรัส RSV พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อวางแผนการให้ภูมิคุ้มกันที่เหมาะสมกับลูกน้อย เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้