รพ.พุทธชินราช ชี้ สปสช. จ่ายค่ารักษาติดลบ ระทบ “เงินบำรุงโรงพยาบาล”

20 เม.ย. 2568 | 02:15 น.
อัปเดตล่าสุด :20 เม.ย. 2568 | 02:18 น.

สำนักงานสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุของค์กรแพทย์ รพ.พุทธชินราช ชี้ “เงินบำรุง” ติดลบตั้งแต่ปี 2567 เหตุกองทุน สปสช. จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ต่ำกว่าความจริง จนกระทบต่อการบริการ

พญ.รัชรา เบญจรงค์เลิศชัย ประธานองค์กรแพทย์ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก กล่าวว่า สถานการณ์โรงพยาบาลศูนย์ภาคกลางตอนบนขณะนี้ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน เกี่ยวข้องกับ “เงินบำรุงโรงพยาบาล” ซึ่งเป็นเงินนอกงบประมาณที่ได้มาจากการดำเนินงานของโรงพยาบาล หลัก ๆ คือ รายได้จากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยสิทธิข้าราชการประกันสังคม หรือหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยเงินบำรุงจะครอบคลุมค่าิใช้จ่าย 9 ด้าน ได้แก่ 

1.ค่าวัสดุ เวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นสำหรับผู้บผู้ป่วย 

2.ค่าบำบำรุงรักษาซ่อมแชม อาคาร เครื่องมือทางการแพทย์และระบบต่างๆ ที่เสียหายชำรุดอย่างเร่งด่วน

3.ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าจ้างพนักงานรายเดือน/รายวัน 

4.ค่าตอบแทนภาระงานนอกเวลา (0T)

5.ค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัฏิบัติงาน (PAD)

6.ค่าฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากร/จัดการประชุมต่างๆ 

7.ค่ากิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล 

8.การจัดซื้อ/ปรับปรุงเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นเร่งด่วน และ 

9.ค่าดำเนินการระบบงานต่าง ๆ เช่น งานไอที เวชระเบียน โดยมีระเบียบการใช้จ่ายเงินบำรุงโรงพยาบาล เป็นแนวทางควบคุมกำกับให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้

"สาเหตุหลักที่เงินบำรุงโรงพยาบาลลดลง เนื่องจากเงินบำรุงส่วนใหญ่มาจากการจัดสรรแบบเหมาจ่ายรายหัวของ สปสช. ซึ่งแบ่งจ่ายหลายกองทุนย่อยมากเกินจำเป็น จึงได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการจัดสรรของ สปสช. และงบกลางที่ได้มาในปี 2567 จัดสรรไปหน่วยบริการใด ขณะที่ภาระงานและต้นทุนการรักษาพยาบาลในปัจจุบันสูงขึ้นจากเทคโลยีและการพัฒนาความก้าวหน้าในการรักษาโรดต่าง ๆ

รพ.พุทธชินราช ชี้ สปสช. จ่ายค่ารักษาติดลบ ระทบ “เงินบำรุงโรงพยาบาล”

ทำให้อัตราที่ สปสช. จำยคืนโรงพยาบาบาลไม่สอดคล้องกับต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริง โรงพยาบาลจึงขาดสภาพคล่อง จนส่งผลกระทบทั้งการให้บริการประชาชนและการจ่ายค่าตอบแทนบุคลากร ซึ่งเป็นสาเหตุงที่ทำให้บุคลากร ลาออกไปอยู่ภาคเอกชน"

พญ.รัชริน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาโรงพยาบาลขาดสภาพคล่อง สปสช.ควรนำงบประมาณที่ได้รับ มาจัดสรรให้โรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นคำรักษาพยาบาลให้เพียงพอกับต้นทุน ก่อนที่จะนำไปจัดสรรในภารกิจอื่น นอกจากนี้ แพทย์ พยาบาล สหวิชาชีพและบุคลากรทุกคน ต้องร่วมมือกันเพื่อเพิ่มรายรับเงินบำรุงโดย 

1) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ การตรวจรักษา ลดระยะเวลารอคอย และทำหัตถการที่สามารถเบิกเบิกค่าบริการ เพื่อเพิ่มรายได้จากการเรียกเก็บเงินส่วนกลางหรือกองทุนต่าง ๆ 

2) บันทึกเวชระเบียนให้ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อเรียกเก็บคำบริการจากกองทุนต่าง ๆ ได้ครบถ้วน 

3) เปิดคลินิกบริการพิเศษ เช่น คลินิกมะเร็ง คลินิกโรคเรื้อรัง เพื่อให้สามารถบริการผู้ป่วยได้เพิ่มขึ้นและรวดเร็ว ช่วยให้ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพิเศษหรือโครงการนำร้อง และ 

4) พัฒนาระบบงาน คุณภาพการบริการผู้ป่วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาต่อโรงพยาบาล ขณะเดียวกันก็ต้องลดรายจ่าย โดยสั่งจ่ายยาและตรวจแล็บอย่างเหมาะสม ไม่ซ้ำช้อน, ลดระยะเวลาการนอน รักษาในโรงพยาบาล โดยสร้างเครือข่ายการดูแลต่อเนื่อง เช่น ส่งกลับโรงพยาบาลชุมชนหรือดูแลที่บ้าน (Home Wan) 

นอกจากนี้ ต้องป้องกันภาวะแทรกช้อนในโรงพยาบาล เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการโดยจัดระบบเวรหรือห้องตรวจให้เหมาะสม ใช้ระบบการปรึกษาทางไกล/การเพทย์ทางไถล ให้ความรู้ผู้ป่วยในการดูแลตนเลตน เป็นต้น