อิทธิพลจีนสะเทือนไทย Top 5 ในเอเชีย ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ เก็บภาษีสูงสุด

05 เม.ย. 2568 | 06:49 น.
อัปเดตล่าสุด :05 เม.ย. 2568 | 09:15 น.

ภาคเอกชนธุรกิจอาหารและความงาม เผย Top 5 ในเอเชียที่สหรัฐขึ้นภาษาสูงสุด ล้วนเป็นประเทศอาเซียน ชี้ปัจจัยสำคัญจีนมีอิทธิพลลงทุนสูงในประเทศเหล่านี้รวมถึงไทย พร้อมรอดูทิศทางเจรจาต่อจากนี้

หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่ “Reciprocal Tariffs” เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่ามีผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยอัตราภาษีในกลุ่มประเทศเอเชีย มีอยู่ 5 ประเทศรองจากจีน ที่ถูกกำหนดอัตราภาษีสูงสุด ดังนี้

  1. จีน (China): 34% (นอกจากอัตราภาษีเดิมที่ 20%) 
  2. เวียดนาม (Vietnam): 46%
  3. กัมพูชา (Cambodia): 49%
  4. อินโดนีเซีย (Indonesia): 32%
  5. ไทย (Thailand): 36%
  6. อินเดีย (India): 27%

สำหรับประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น (Japan), เกาหลีใต้ (South Korea), ไต้หวัน (Taiwan), และสิงคโปร์ (Singapore) ก็ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีใหม่นี้ด้วย โดยอัตราภาษีใหม่ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2568 และส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก เพราะอัตราภาษีนี้จะถูกนำไปใช้กับสินค้านำเข้าเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการค้าใหม่ของสหรัฐฯ

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และประธานคลัสเตอร์สุขภาพและความงาม เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ยกตัวอย่างกรณีกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องมือแพทย์ ธุรกิจสุขภาพและความงาม ประเทศไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปอเมริกาหลายอย่าง เช่น ยาฉีด ถุงมือยาง เครื่องสำอาง แชมพู  ซึ่งส่งกระทบมากพอสมควร แม้ว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้แต่ก็ต้องจับตาดูการเจรจาของภาครัฐด้วยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

“ที่จริงสินค้าที่เรานำเข้าจากสหรัฐก็มีหลายอย่างไม่ต่างกัน บางอย่าเราเก็บภาษีเขาน้อยกว่าที่เขาเก็บเรา แต่บางอย่างเราก็เก็บภาษีเขาสูงมาก เช่น ยา หรือวัตถุดิบที่เรานำเข้ามาผลิตยาเอง โดยสิ่งที่เราทำคือการปกป้องธุรกิจโรงงานยาของไทย ไม่ให้ยาจากอเมริการทะลักเข้าไทย และทำให้โรงงานของคนไทยที่สามารถผลิตยาไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนอาหารเสริมและผลิตภัณณ์ ยาดม ยาหม่องที่ส่งไปอเมริกา ตอนนี้ยังไม่ค่อยกระทบ แต่หากมองในภาพของภาคธุรกิจที่ว่ามา เรานำเข้ามากกว่าส่งออกและยังคงเสียดุลการค้าสหรัฐ“

จะสังเกตเห็นว่า ประเทศในเอเชียที่ถูกตั้งภาษีสูง ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม (Vietnam), กัมพูชา (Cambodia), อินโดนีเซีย (Indonesia) หรือไทย (Thailand) ล้วนแล้วแต่มีทุนจีนเข้าไปลงทุนการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทุกจีนบางกลุ่มใช้พื้นที่ฐานการผลิตสวมสิทธิ์เป็นสินค้าประเทศนั้นๆ ส่งออกไปยังยุโรป อเมริกา ทำให้ยอดการส่งออกเป็นของจีนไม่ใช่ของประเทศต้นทางโดยตรง และอาจเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลการถูกขึ้นภาษีที่สูงกว่าประเทศอื่น

แต่อย่างไรก็ตาม จีนค่อนข้างมีอิทธิพลและมีบทบาทในประเทศอาเซียน มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้องกัน ถึงกระนั้นไทยน่าจะได้เปรียบประเทศอื่นในเชิงการค้าด้านธุรกิจอาหาร เพราะต่อให้เสียเปรียบก็ยังถือว่าป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ติดอันดับโลกอยู่ ต้องรอดูต่อไปว่ารัฐบาลจะเจรจาต่อไปอย่างไร