นพ.วิทยา วันเพ็ญ รองกรรมการผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปี 2568 โรงพยาบาลพระรามเก้ายังคงมองภาพการรักษาพยาบาลที่สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มุ่งไปที่การรักษาโรคยากและซับซ้อน ด้วย 4 แผนงาน คือ 1.Global Standard การรักษาพยาบาลจะใช้มาตรฐานระดับโลก เช่น ความสำเร็จในการผ่าตัดเปลี่ยนไตกว่า 95% การรักษาโรคหัวใจแบบฉุกเฉิน การรักษาหลอดเลือดสมอง การฉีดยา ควบคุมการติดเชื้อ เป็นต้น 2.World-Class Hospitalityการบริการที่เป็นตัวเสริมนอกเหนือจากการบริการทางการแพทย์ที่เป็นเลิศ
3. Efficiency With Cooperation ประสิทธิภาพของความร่วมือจากบุคลากรภายในโรงพยาบาล ด้วยการลดขั้นตอนบริการที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้เกิดความเร็วในการบริการและสะดวกมากขึ้น เช่น ระบบคิว ระบบรอคอยการตรวจ การประเมินการรักษา 4.Digital Transformation นำเทคโนโลยีมาช่วยให้ระบบการรักษาพยาบาลดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใช้หุ่นยนต์ ใช้ AI ตลอดจนแอพพลิเคชั่นต่างๆ คนไข้สามารถทำรายการส่วนบุคคลและดูข้อมูลในระบบได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังปรับปรุงสถานที่เปิดศูนย์ International center สำหรับดูแลกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ รวมถึงเพิ่มศูนย์ศัลยกรรมเพิ่มรองรับการผ่าตัดในกลุ่มคนไข้ LGBTQ
สำหรับภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาลพระรามเก้าในปี 2567 มีรายได้รวม 4,690 ล้านบาท เติบโต 10.3% จากปี 2566 กำไรสุทธิ 712.7 ล้านบาท เติบโต 27.8% ถือว่าเติบโตขึ้นทั้งรายได้และจำนวนคนไข้ โดยลูกค้าหลักกว่า 70% ยังเป็นคนไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ผู้ป่วยกลุ่มสูงอายุที่เข้ามารักษาโรคยากและซับซ้อน เช่น โรคไต หัวใจ โรคทางสมอง การผ่าตัดมะเร็งแบบส่องกล้อง การผ่าตัดโรคกระดูและข้อ
“เราเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในกลางเมือง สะดวกในการเดินทาง ปัจจุบันมีประมาณ 204 เตียง คนไข้ IPD 120-160 คน/วัน คนไข้ OPD 1,500-2,000 คน/วัน มีแพทย์ Full Time ประมาณ 150 คน โดดเด่นในเรื่องการรักษาโรคไต โรคหัวใจ สมอง ถัดมาคือกลุ่มศัลยกรรมกระดูกที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะครบทุกส่วน และการผ่าตัดแผลเล็ก รวม 5 ศูนย์การรักษาสร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลเกินกว่า 50% ราคาและการบริการอยู่ในระดับมาตรฐานสากลที่ประชาชนคนทั่วไปเข้าถึงได้ แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าจ่ายด้วยประกัน 25% บริษัทที่ทำงานช่วยจ่ายให้ 5% ที่เหลือคือลูกค้าจ่ายด้วยตัวเองประมาณ 70% กลุ่มคนไข้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานและระดับผู้บริหาร มักจะเข้ารับบริการตรวจสุขภาพ บริการด้านเวลเนส รับวิตามิน และกลุ่มนี้ค่อนข้างมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น”
นพ.วิทยา กล่าวว่า ในปี 2567 ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจค่อนข้างชัดเจนและเห็นภาพการใช้จ่ายในธุรกิจเฮลท์แคร์น้อยลง ถือว่ากระทบกับทุกโรงพยาบาล เพราะผู้ป่วยที่ต้องการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง หรือมีข้อจำกัดมากขึ้น รวมทั้งกลุ่มบริษัทประกันมักจะออกข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น หากมีไข้ไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่คุ้มครองการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ฉะนั้น แนวโน้มการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของคนไทยจะเริ่มลดลง รวมทั้งการทำศัลยกรรมตกแต่งหรือไม่จำเป็นในทางการแพทย์
ขณะเดียวกันการแข่งขันในธุรกิจเฮลท์แคร์จะมีมากขึ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอื่นที่มีอัตราการเติบโตต่ำกำลังหาช่องทางเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจเฮลท์แคร์ เช่น การทำโทรเวชกรรม (Telemedicine) แม้แต่การเปิดโรงพยาบาลใหม่ เทรนด์ของการดูแลสุขภาพด้วยตัวเองจะมีมากขึ้นต่อเนื่อง เพราะผู้คนจะเริ่มมีข้อจำกัดในการใช้จ่าย หากไม่ป่วยหนักจะไม่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพรวมของธุรกิจการแพทย์ของไทยถือว่ามีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะความเจ็บป่วยของผู้คนไม่หายไปไหน เพียงแต่ช่องทางการรักษาอาจมีมากขึ้นทั้งภาครัฐและเอกชน และด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ไทยยังเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ป่วยจาก CLMV รวมทั้งผู้ป่วยจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ยังคงให้ความสนใจและเข้ามารักษาโรคในประเทศไทย