ฝ่าวิกฤตโรคอ้วนด้วย 3 ปัจจัย ลดความเสี่ยงของคนวัยทำงาน

05 มี.ค. 2568 | 21:50 น.

คณะแพทยศาสต์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ย้ำชัด “สิ้นสุดทางอ้วน” ในบุคลากรวัยทำงาน เผยการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนมี 3 ปัจจัยสำคัญ พร้อมจัดงานวันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day) ประจำปี 2568

ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การสร้างเสริมสุขภาพของบุคลากรเป็นหนึ่งในพันธกิจที่สำคัญของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งในวัยทำงาน มีวิกฤตโรคอ้วนถือว่าเป็นสิ่งที่คณะฯ ให้ความสำคัญ และมุ่งมั่นสนับสนุนให้บุคลากรสามารถลดน้ำหนัก ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคอ้วนได้สำเร็จอย่างยั่งยืน 

โดยทีมผู้เชี่ยวชาญสหสาขาวิชาชีพ ปรับสิ่งแวดล้อมในองค์กรให้เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างแรงจูงใจ การค้นหาแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสมกับบุคลากรแต่ละคน ทั้งมีความเชื่อมั่นและพร้อมเป็นแบบอย่างให้กับสังคมในการสร้างเสริมสุขภาพ สร้างค่านิยมการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เพื่อร่วมหยุดยั้งวิกฤตโรคอ้วน ย้ำว่าสังคมสุขภาพดีสร้างได้ หากร่วมมือกัน ทุกภาคส่วนร่วมรณรงค์การสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อยุติการเพิ่มขึ้นของวิกฤตโรคอ้วน

ฝ่าวิกฤตโรคอ้วนด้วย 3 ปัจจัย ลดความเสี่ยงของคนวัยทำงาน

ผศ. ดร. นพ.พงศกร อธิกเศวตพฤทธิ์ อ. นพ.ศุภโชค เกิดลาภ อ. พญ.สโรชา อิทธิอมรกุลชัย และ ภก.พงศธร เพียบเพียร บุคลากรที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก กล่าวว่า การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนมี 3 สิ่งที่สำคัญที่เป็นปัจจัยความสำเร็จ คือ

  1. การรักตัวเอง ทำให้ตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดี 
  2. แรงบันดาลใจและเป้าหมาย 
  3. แบบแผนการลดน้ำหนักที่เข้าได้กับวิถีชีวิตของตัวเอง และทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ศ. ดร.นพวรรณ เปียซื่อ รองคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าความชุกของโรคอ้วนในบุคลากรยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซี่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทย โรคอ้วนถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด 9 เป้าหมายการรับมือสถานการณ์โรคไม่ติดต่อภายในปี 2568 เพื่อยับยั้งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของประชากรโลก

หนึ่งในเป้าหมาย คือ ความชุกภาวะอ้วนจะต้องไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้บุคคลเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ (Non- Communicable Diseases: NCDs) การเร่งรณรงค์ให้เกิดความตระหนักถึงปัญหาจากโรคอ้วน ความรอบรู้ของบุคลากรและสร้างแรงจูงใจในการสร้างเสริมสุขภาพ จะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยยุติวิกฤตโรคอ้วนได้ดี

ฝ่าวิกฤตโรคอ้วนด้วย 3 ปัจจัย ลดความเสี่ยงของคนวัยทำงาน

ผศ. พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร ประธานคณะกรรมการป้องกันและจัดการโรคอ้วนแบบครบวงจร คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรคอ้วน เป็นโรคเรื้อรังที่มีไขมันสะสมมากจนส่งผลต่อสุขภาพ ถือว่าเป็นภัยคุกคามทางสุขภาพ เพราะโรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคอื่นๆตามมา อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันพอกตับ โรคมะเร็ง โรคถุงน้ำรังไข่ โรคเก๊าท์ หยุดหายใจขณะหลับ โรคซึมเศร้า เป็นต้น 

“การลดน้ำหนักลงเพียงแค่ร้อยละ 5 ก็เป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งช่วยป้องกันเบาหวาน ลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ลดไขมันพอกตับ ยิ่งลดได้มาก ยิ่งส่งผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น ในคนที่เป็นโรคอ้วนร่วมกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หากลดน้ำหนักได้มากกว่าร้อยละ 15 จากน้ำหนักตั้งต้น สามารถทำให้เบาหวานสงบได้ การลดปัจจัยเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนเพียงเรื่องเดียว สามารถลดโรคแทรกซ้อนอื่นๆอีกมากมาย ถือว่าเป็นการลงทุนลงแรงที่คุ้มค่าต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง”

รศ. พญ.ประพิมพ์พร ฉัตรานุกูลชัย (ฉันทวศินกุล) หัวหน้าสาขาวิชาโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “แนวทางการจัดการโรคอ้วนในปัจจุบันถึงแม้จะมียากิน ยาฉีดที่ช่วยในการลดน้ำหนัก หรือมีการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำควบคู่กันเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการลดน้ำหนักและป้องกันการกลับมาอ้วนซ้ำ คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 

ฝ่าวิกฤตโรคอ้วนด้วย 3 ปัจจัย ลดความเสี่ยงของคนวัยทำงาน

นอกจากนี้ แบบแผนอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักนั้น ไม่ได้มีแบบแผนที่ตายตัว เน้นโปรตีนให้เพียงพอ มีผักทุกมื้อ ลดแป้งและน้ำตาล ไขมันแต่พอควร และควบคุมพลังงาน ขอให้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองและเป็นแนวทางที่ถามตัวเองแล้วว่าเราจะสามารถอยู่กับแบบแผนนี้ได้อย่างยั่งยืน

รศ. นพ.ปรีดา สัมฤทธิ์ประดิษฐ์ อาจารย์สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุและเวชบำบัดวิกฤตทางศัลยกรรม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การผ่าตัดรักษาโรคอ้วน เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการรักษาโรคอ้วน หากเข้าเกณฑ์ที่จำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการรักษาโรคอ้วน ก็ยึดตามแนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2564 ซึ่งจะพิจารณาจากดัชนีมวลกายและโรคแทรกซ้อน 

โดยผู้ป่วยได้ผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและควบคุมการรักษาอย่างเต็มที่แต่ยังไม่ได้ผล เนื่องจากการผ่าตัดอาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารบางชนิด และยังมีโอกาสที่น้ำหนักสามารถกลับมาเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น หลังผ่าตัดมีความจำเป็นต้องรู้จักเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาสมดุลเมตาบอลิซึม และรักษามวลกล้ามเนื้อ พบหมออย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ปี และกินวิตามินแร่ธาตุเสริมตามที่แพทย์แนะนำ