วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันโรคอ้วนโลก (World Obesity Day) ซึ่งสมาพันธ์โรคอ้วนโลก ระบุว่า ประชากรโลกกว่า 988 ล้านคนเข้าข่ายโรคอ้วน ส่งผลให้งบประมาณรักษาโรคเบาหวาน-หัวใจ-มะเร็งพุ่งสูง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ป่วยโรคอ้วนเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการติดโทรศัพท์มือถือ-หน้าจอ ขยับร่างกายน้อย กินอาหารไม่ดี นอนไม่พอ เครียดสะสม ย้ำ
นายแพทย์ชเนษฎ์ ศรีสุโข โรงพยาบาลศรีสุโข จังหวัดพิจิตร และผู้ก่อตั้งมาลิคลินิกเวชกรรม สีลม กล่าวว่า ในประเทศไทย ข้อมูลผลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด (ปี 2562-2563) โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบว่า ผู้หญิงไทย 46.4% และผู้ชายไทย 37.8% มีภาวะอ้วนหรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป
ในขณะที่ผู้ชายไทย 27.7% และ 50.4% ในหญิงไทยมีภาวะอ้วนลงพุง หรือมีรอบเอวตั้งแต่ 32 นิ้ว (80 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้หญิง และตั้งแต่ 36 นิ้ว (90 เซนติเมตร) ขึ้นไปสำหรับผู้ชาย นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้หญิงในกรุงเทพมหานครมีความชุกภาวะอ้วนลงพุงสูงสุด
อย่างไรก็ตาม โรคอ้วนไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ อย่างมาก นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในระบบสาธารณสุข ในการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องอย่างโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และมะเร็งมีมูลค่ามหาศาล
จากสถิติจากวิจัยในสหรัฐฯ พบว่า จากจำนวนคนที่เผชิญกับโรคอ้วนทั้งหมดนั้น มีประมาณ 40% ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วน และมีไม่ถึง 20% ที่ได้รับการรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีที่มีข้อมูลศึกษาชัดเจน และมีเพียง 1.3% เท่านั้นที่ได้รับยาที่มีข้อบ่งใช้ในการรักษาโรคอ้วน
สำหรับแนวทางแก้ปัญหาโรคอ้วนในระยะยาว ประชาชนควรปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับโรคนี้ เนื่องจากล่าสุดมีการกำหนดนิยามโรคอ้วน และประเภทของโรคอ้วนทางการแพทย์ใหม่ โดยเน้นความสำคัญของ ‘Preclinical Obesity’ หรือภาวะก่อนเป็นโรคอ้วน ซึ่งควรได้รับการรักษา เช่น คนที่มีภาวะเนื้อเยื่อไขมันมากเกินไป (Excess Adiposity) แต่อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงานได้ปกติ
“แม้ค่า BMI จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาจเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางไม่ดี และอาจมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน เป็นต้น แนวโน้มการรักษาโรคอ้วนควรเริ่มตั้งแต่ระยะแรก แม้ค่า BMI ยังไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งค่าที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงไทยเฉลี่ยคือ 24.4 และชาวไทยคือ 23.1”
การวินิจฉัยภาวะอ้วนรายบุคคลควรใช้เครื่องมือที่วัดสัดส่วนของไขมันในร่างกายเทียบกับน้ำหนักตัว (Body Fat) ที่ช่วยให้รู้รายละเอียดของมวลกล้ามเนื้อหรือมวลไขมันในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น หรือหากไม่สามารถวัด Body Fat ได้ ก็อาจเลือกใช้วิธีวัดสัดส่วนของร่างกาย เช่น การวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้ชายถ้ามากกว่า 36 นิ้ว ถือว่าอ้วนลงพุง ส่วนผู้หญิงมากกว่า 32 นิ้ว นอกจากนี้ สามารถใช้การวัดเส้นรอบเอว (เมตร) หารด้วยเส้นรอบสะโพกที่ยาวที่สุด โดยผู้ชายถ้าเกิน 1.0 และผู้หญิงถ้าเกิน 0.8 ถือว่า อ้วนลงพุง
อย่างไรก็ตาม นอกจากกังวลเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่เกิดจากภาวะอ้วนแล้ว คนเราควรต้องตระหนักถึงโรคอื่น ๆ ที่พ่วงมากับความอ้วนด้วย เพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาอีกมหาศาลสำหรับโรคเรื้อรัง
กลุ่มคนที่มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะมีพฤติกรรม
1.ไม่ออกกำลังกาย
2.รับประทานอาหารไม่ดี เช่น มีน้ำตาลสูงเกินไป และรับประทานผัก ผลไม้ที่มีไฟเนอร์น้อยเกินไป
3.พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนไม่หลับ
4.คนที่ติดหน้าจออุปกรณ์มือถือตลอดเวลา
5.มีความเครียดและมีปัญหาโรคทางจิตใจ
6.กลุ่มคนที่ได้รับยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์, ยาคุมประเภทฮอร์โมนเดียวแบบโปรเจสเตอโรน, ยากันชัก, ยาเบาหวานและความดันบางชนิด และคนที่มียีนโรคอ้วน