ปัจจัยเสี่ยงใกล้ตัว สาเหตุ "โรคต้อกระจก" อาจเสียการมองเห็นแม้อายุน้อย

17 ก.พ. 2568 | 22:09 น.

ระวังเมื่อมองไม่ชัด ตาขุ่นมัว มีความเสี่ยงเป็น “โรคต้อกระจก” จากสาเหตุใกล้ตัว อาจเสียการมองเห็นแม้อายุน้อย เพราะโรคนี้ไม่ได้พบแค่ในผู้สูงอายุ

พญ.จิรนันท์ ทรัพย์ทวีผลบุญ จักษุแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคต้อหิน ศูนย์จักษุ รพ.วิมุต กล่าวว่า "โรคต้อกระจก" ถือว่าพบได้บ่อยที่สุดในกลุ่มโรคต้อที่เกิดกับดวงตา และไม่ได้พบแค่ในผู้สูงอายุ คนอายุน้อยก็เป็นโรคนี้ได้จากปัจจัยเสี่ยงใกล้ตัวที่เราอาจไม่รู้มาก่อน เช่น รังสี UV, การสูบบุหรี่ หรือการใช้ยาบางประเภท ทำให้เลนส์ตาขุ่นมัว ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น และหากปล่อยไว้ไม่รีบรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

ปัจจัยเสี่ยงใกล้ตัว สาเหตุ "โรคต้อกระจก" อาจเสียการมองเห็นแม้อายุน้อย

“โรคต้อกระจก” คืออะไร

ต้อกระจก (Cataracts) คือ โรคต้อตาชนิดหนึ่งที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์ดวงตา ทำให้เลนส์ตาที่ปกติมีความใสเกิดความขุ่นมัว ส่งผลให้ประสาทตารับแสงได้ไม่เต็มที่จนเกิดอาการมองไม่ชัดหรือตาพร่ามัว 

ปัจจัยเสี่ยงโรคต้อกระจก

โรคต้อกระจกเกิดได้กับทุกคน แต่จะเกิดความเสื่อมช้าเร็วไม่เท่ากัน โดยปกติต้อกระจกเกิดจากอายุที่มากขึ้น พบบ่อยในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป และจะเริ่มรบกวนการมองเห็นมากขึ้นเมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนคนที่อายุยังน้อยก็เป็นโรคนี้ได้จากปัจจัยเสี่ยงอื่น  เช่น สูบบุหรี่จัด เคยผ่าตัดตา การใช้ยาสเตียรอยด์ มีโรคประจำตัวที่กระทบสุขภาพดวงตา หรือการประสบอุบัติเหตุบริเวณดวงตา 

อีกหนึ่งความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้คือ การอยู่กลางแดดบ่อย เพราะรังสี UV โดยเฉพาะรังสี UVA ส่งผลต่อการเสื่อมของเลนส์ตาโดยตรง ไปกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระที่ทำให้โปรตีนในเลนส์ตาเสื่อมสภาพและจับตัวเป็นก้อน หรือที่เราเห็นเป็นความขุ่นในดวงตา ดังนั้น ใครที่อยู่กลางแดดเป็นประจำควรสวมแว่นกันแดดอยู่เสมอ และต้องเป็นแว่นกันแดดที่ได้มาตรฐาน ฉาบสารป้องกันรังสี UV

สัญญาณเตือนโรคต้อกระจก

การเปลี่ยนแปลงของสายตาจากต้อกระจกมักสังเกตได้ยาก เนื่องจากอาการจะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาการที่พบบ่อยคือ ตาพร่ามัว และค่าสายตาเปลี่ยนหลังจากที่คงที่มานาน คนที่มีความขุ่นของตาเยอะประมาณหนึ่ง ถ้านำไฟฉายส่องจะพบเงาของม่านตาตกลงบนเลนส์แก้วตาที่อยู่กึ่งกลางตาดำ ส่วนคนที่มีสุขภาพเลนส์ตาปกติ แสงจะผ่านได้ดีและไม่ปรากฏเงา ซึ่งคนที่มีแนวโน้มเป็นต้อกระจกให้รีบมาตรวจกับจักษุแพทย์เพื่อประเมินอย่างละเอียด

การรักษาต้อกระจก 

ปกติจักษุแพทย์จะเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรคต้อกระจก วินิจฉัยได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติม ในอนาคตอาจมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ AI เข้ามาช่วยวินิจฉัยเบื้องต้นจากภาพถ่ายดวงตา ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับคนไข้ที่ไม่สะดวกมาโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังนำ AI มาใช้ในการคำนวณค่าเลนส์แก้วตาเทียมที่จะใส่ให้ผู้ป่วย ช่วยเพิ่มความแม่นยำจากการคำนวณแบบดั้งเดิม และช่วยแจ้งเตือนจุดอันตราย (Danger Zone) ระหว่างการผ่าตัด 

ปัจจัยเสี่ยงใกล้ตัว สาเหตุ "โรคต้อกระจก" อาจเสียการมองเห็นแม้อายุน้อย

พญ.จิรนันท์ อธิบายว่า การรักษาโรคต้อกระจกจะพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ ถ้าเป็นน้อยและยังไม่รบกวนการมองเห็น สามารถติดตามอาการไปก่อนได้ แต่ถ้าเริ่มกระทบการมองเห็นก็มีวิธีรักษาหลายแบบ อย่างแรกคือการใช้ยาหยอดตากลุ่มต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้หายขาด 

อีกวิธีที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม เพราะปัจจุบันมีเลนส์ระดับพรีเมียมที่ช่วยให้มองเห็นได้หลายระยะและลดแสงรบกวน แม้จะยังไม่สามารถทดแทนเลนส์ธรรมชาติได้สมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังใช้เลเซอร์ช่วยผ่าตัดได้ ส่วนมากใช้เฉพาะในผู้ป่วยที่มีถุงหุ้มเลนส์อ่อนแอ หรือผู้ที่เลนส์แก้วตาแข็งมากเกินกว่าจะสลายด้วยคลื่นความถี่สูงตามปกติ

การผ่าตัดโรคต้อกระจก

สำหรับการผ่าตัดต้อกระจกมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 97-99% โดยแพทย์จะประเมินก่อนว่าคนไข้มีสุขภาพตาที่เหมาะกับการผ่าตัดหรือไม่ โดยผู้ที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดคือคนที่สูญเสียการมองเห็น จอตาเสียจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่ต้อกระจก กระจกตาเสื่อม หรือดวงตาได้รับความเสียหายมาก เพราะอาจไม่เกิดประโยชน์หรือทำให้อาการแย่ลง หรือถ้าบางรายจำเป็นต้องผ่าตัด แพทย์อาจพิจารณาเปลี่ยนกระจกตาพร้อมกับรักษาต้อกระจกในการผ่าตัดครั้งเดียว

ปัจจัยเสี่ยงใกล้ตัว สาเหตุ "โรคต้อกระจก" อาจเสียการมองเห็นแม้อายุน้อย

ผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดคืออาการตาอักเสบและตาแห้ง มักหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์ และในช่วงหนึ่งเดือนหลังผ่าตัด ผู้ป่วยต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าตา งดล้างหน้า และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการกระทบกระแทกดวงตา เพื่อให้แผลปิดสนิทและป้องกันการติดเชื้อ หากดวงตาติดเชื้อจะมีความยุ่งยากกว่าเดิม เพราะอาจต้องผ่าตัดนำเลนส์เทียมออก 

"อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคต้อกระจกควรเริ่มจากการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกข้างนอกก็สวมแว่นกันแดดที่เคลือบสารกัน UV และไม่ซื้อยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์มาใช้เอง เพราะถ้าใช้นานๆ อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้ ที่สำคัญคือต้องสังเกตการมองเห็นของตัวเองอยู่เสมอ ถ้ามีอาการผิดปกติ มองไม่ชัด ตาพร่ามัว ให้พบแพทย์ทันที"