"นำวิวัฒน์" เดินหน้าขยายธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ดันแบรนด์ไทยสู่ระดับโลก

28 ม.ค. 2568 | 09:44 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ม.ค. 2568 | 10:32 น.

นำวิวัฒน์ (NAM) กางแผนธุรกิจปี 2568 ขยายธุรกิจอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท เข้าถือ “อินโนเวทีฟ อิมเมจจิ้ง ซิสเต็มส์” ผลักอุปกรณ์การแพทย์แบรนด์ไทยสู่ระดับโลก

นายวิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (NAM)” กล่าวว่า นำวิวัฒน์เดินหน้าขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ จากแบรนด์ไทยสู่โกลบอลแบรนด์ ด้วย 4 กลยุทธ์ คือ 

1.พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย กระจายสินค้าในประเทศไปยังต่างประเทศมากขึ้น (Distribution &Logistic) ทั้งยังได้เข้าไปซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งภายใต้กฎหมายในต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายกระจายสินค้าจากประเทศไทยไปสู่ภูมิภาคทั้งเอเชียและภูมิภาคอื่นๆ ที่มีโอกาสในการเจริญเติบโตด้านการกระจายสินค้าทางการแพทย์ เริ่มด้วยประเทศมาเลเซียที่ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 60% และกำลังจะมีอยู่ในอีกหลายประเทศ 

2.สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ (Strengthen Business Portfolio) โดยหลักคิดของนำวิวัฒน์ คือการเป็น Total Medical Technology Solution) ที่เป็นทั้งนักวิจัย ผู้ผลิต จำหน่ายและให้บริการ เพื่อให้ครบวงจร

3. การสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาตอบโจทย์ (Innovative Medical Solution)

4.ความยั่งยืน (Green&Clean Solution) โดยทำให้เครื่องมือแพทย์ตอบโจทย์ในเรื่องการประหยัดพลังงาน  การออกแบบที่ตอบโจทย์เรื่องสภาพแวดล้อม การใช้คลีน แมททีเรียล และของที่ปล่อยออกมาจะต้อง Green ซึ่ง 1ในเรื่องนี้ของนำวิวัฒน์ คือ เครื่องกำจัดขยะ โดยเปลี่ยนขยะที่เป็นของเสีย เป็นอันตราย กลับมาเป็นพลังงาน

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 400-500 ล้านบาท สำหรับขยายกำลังผลิตในโรงงานเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น ทั้งทำวิจัยและพัฒนา โดยวางกลยุทธ์สำคัญเพื่อขยายกิจการไปยังกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ต่อยอดการเติบโตอย่างมั่นคงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายด้านสาธารณสุขอย่าง 30 บาทรักษาทุกที่ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งต้องจะเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ในโรงพยาบาลอำเภอที่มีขนาดเล็ก และแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism)

ด้วยปัจจัยบวกดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์จากกลุ่มผู้ผลิตมากขึ้น ดังนั้น บริษัทฯจึงตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2568 ประมาณ 1,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นเติบโต 50% จากปี 2567

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2568 ยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในบริษัท อินโนเวทีฟ อิมเมจจิ้ง ซิสเต็มส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นสูง เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 60% โดยมีมูลค่าลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทฯ ดำเนินการด้านธุรกรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะสามารถเริ่มทยอยรับรู้รายได้และกำไรตั้งแต่ไตรมาสนี้เป็นต้นไป และเชื่อมั่นว่าจากปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินของบริษัทฯ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 4-5 ปี

"การลงทุนครั้งนี้เป็นไปตามกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายธุรกิจผ่านการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพ โดยจะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตในกลุ่มเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับห้องผ่าตัดของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัท อินโนเวทีฟฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ขั้นสูงที่มีส่วนสำคัญสำหรับใช้งานในห้องผ่าตัด รวมทั้งเป็นการต่อยอดธุรกิจต้นน้ำของบริษัทฯ เนื่องจากทุกการตรวจหรือรักษาในงานห้องผ่าตัดจำเป็นที่จะต้องใช้ระบบการทำความสะอาดและล้างอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อทำให้ปราศจากเชื้อด้วย"

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในปี 2568 มองภาพการเติบโตในต่างประเทศมากขึ้นจากการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจในปีที่ผ่านมา ส่วนของอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จะทำให้ปราศจากเชื้อและนำกลับมาใช้ซ้ำ ตามเทรนด์ของ รพ.ทั่วประเทศ  โดยกลุ่มธุรกิจบำบัดขยะติดเชื้อทางการแพทย์มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด และกลุ่มธุรกิจเกี่ยวข้องกับห้องผ่าตัดก็เติบโตตามเทรนด์ของการผ่าตัดสมัยใหม่ ที่มีความแม่นยำ มีคุณภาพ ช่วยชีวิตคนได้มากกว่าเดิม และ รพ.ทั่วประเทศก็เริ่มหันมาลงทุนเรื่องนี้มากขึ้น 

"นำวิวัฒน์" เดินหน้าขยายธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ดันแบรนด์ไทยสู่ระดับโลก

นายมานะ สถาพรสกุลไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อินโนเวทีฟ อิมเมจจิ้ง ซิสเต็มส์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับบริษัท อินโนเวทีฟ อิมเมจจิ้ง ซิสเต็มส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในด้านการจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงทั้ง การตรวจวินิฉัยโรค และให้การรักษาพยาบาล ทั้งกลุ่มโรคพื้นฐานทั่วไป โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง เป็นต้น  

การร่วมธุรกิจของ 2 ษริษัทเกิดจากการมีวิสัยทัศน์เดียวกันในการมุ่งไปสู่การเป็นผู้นำเครื่องมือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับห้องผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าที่เกี่ยวกับห้องผ่าตัดโดยตรง 2 ตัว คือ

1.เครื่องเอกซเรย์ฟลูโอโรสโคปเคลื่อนที่แบบซีอาร์ม (C-ARM) มีมาร์เก็ตแชร์ในประเทศเป็นอันดับ 1 มากกว่า 70 % มียอดสั่งซื้อเป็นอันดับ 1ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอันดับ 1 ของโลก     

2.ห้องผ่าตัดชนิดไฮบริด(Hybrid OR) รักษาผู้ป่วยกลุ่มโรคหลอดเลือดต่างๆ และโรคหัวใจที่อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัด โดยใช้เทคโนโลยีการสร้างภาพทางรังสีขั้นสูงแบบ 3 มิติ ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์ในประเทศราว 70 % และระดับโลกประมาณ 65 %

"การผ่าตัดรักษาโรคในปัจจุบันมีความซับซ้อนยุ่งยากมากขึ้น ดังนั้นเครื่องมือแพทย์ที่มีศัยภาพจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการช่วยแพทย์ผ่าตัดคนไข้ โดยเฉพาะเครื่องเอกซเรย์ที่ตอบโจทย์ทางรังสี สร้างภาพ 3-4 มิติ และมีโปรแกรมนำทางเป็นแผนที่หลอดเลือดเพื่อช่วยในการผ่าตัด เช่น การผ่าตัดใส่สายสวนหัวใจ ในอนาคตเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยการผ่าตัดและเอไอก็จะเข้ามามีความสำคัญมากขึ้นด้วย"